วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2554

บทความในหนังสือ Thai UK




ใบไม้ผลิ..ที่เชียงใหม่่



๗.๐๐ นาที

“ ตื่นได้แล้ว ตื่นได้แล้วเจ๊า“
ในแสงสว่างยามเช้า แดดฤดูร้อนส่องสว่างรอบห้องพักเล็กๆ ของฉัน ฉันกระพริบตาถี่ๆ เพื่อให้ดวงตาเคยชินกับแสงจ้าๆ ของเมืองในฝั่งตะวันออกแห่งนี้ และเวลาเดียวกัน ฉันก็ทบทวนตัวเอง แบบคนงุนงงงวยเงียว่า ขณะนี้ ฉันกำลังอยู่ที่ไหนกัน?
“ ตื่นได้แล้วเจ๊า แม่เปิ้นเตรียมกับข้าวเช้าฮื้อแล้วเน้อ“
อ้อ ฉันนึกได้แล้ว ฉันกำลังอยู่ที่จังหวัดภาคเหนือของไทย
จังหวัดเชียงใหม่ เพชรน้ำงามของล้านนานี่เอง

๘. ๐๐ นาที

ฉันตื่นนอน อาบน้ำอาบท่า และนั่งหน้าตื่นอยู่ที่โต๊ะอาหาร ฉันนั่งจ้องกับข้าว ที่เต็มไปด้วยอาหารหน้าตาแปลกๆ กับสำรับข้าวเหนียว
ที่ทำโดยสาวเต็มวัยชาวเหนือผู้มีเสียงหัวเราะอยู่เป็นนิจ
“ ทานให้อิ่มๆเน้อ จะได้มีแรงทำงาน“
อาหารบนโต๊ะนั้น ฉันจดเรียงนามได้ดังนี้
แกงขนุน
ยำขนุน
แกงฮังเล
ยำยอดมะขามอ่อนกับปลาแห้ง
ไส้อั่ว แคบหมู น้ำพริกหนุ่ม
แหนมหมก
………………..
ใจฉันนึกไปว่า ฉันคงมีแรงทำงานไปถึงมื้อเย็นโน้นเลยเชียว


๑๐.๐๐ นาที

ฉันนั่งรถสีล้อแดง ต่อจากถนนท่าแพมายังถนนนิมมานเหมินทร์ เสียเงินไปทั้งสิ้น ๓๐ บาท, ราคาไม่ถูก แต่ก็ไม่แพงจนน้ำหูน้ำตาไหล แต่ฉันไม่ทราบว่า เป็นราคามาตราฐานหรือไม่ ในเมื่อรถสี่ล้อแดงไม่มีป้ายราคาบอกต่อลูกค้าอย่างตรงไปตรงมา จุดนี้เอง ขอให้นักท่องเที่ยวระวังไว้บ้าง หากขึ้นรถ แล้วถูกเรียกราคาจนเกินไป เช่น เรียกไปถึง ๕๐ บาท ก็ขอให้ปฎิเสธเสีย แถมตอนนี้ เชียงใหม่มีรถเมล์ ปอ. กับเขาด้วย ซึ่งจะแล่นในย่านใจกลางเมือง และรอบคูเมือง แถมถึงสถามบินด้วย อย่างนี้น่าจะปลอดภัยกว่า

๑๑.๐๐ นาที

ฉันใช้เวลาดูข้าวของตกแต่งบ้านที่สวยมากๆ ในย่านนิมมานเหมินทร์อย่างสำราญใจ อันที่จริง ฉันได้ยินคำบอกเล่าเก้าสิบมานานแล้วว่า ข้าวของสวยๆงามๆ ในย่านนิมมานเหมินทร์เป็นข้าวของที่ออกแบบแตกต่างจากของที่เราจะพบในบาซ่าร์ทั่วๆไป หากใครมีลูกค้าเพื่อนฝูงชาวตะวันตก ฉันขอแนะนำให้พามาจับจ่ายซื้อของที่นี่ เพราะ
ข้าวของของร้านย่านนี้ออกแบบอย่างปราณีตและเต็มไปด้วยรสนิยม แม้ราคาค่อนข้างจะสูงไปเสียหน่อย แต่ก็นับว่าคุ้ม คือได้ของไม่เหมือนใคร
อย่างผ้าฝ้ายที่ออกแบบลายผ้าได้งดงามไม่มีใครเหมือน เช่น นันทขว้าง ก็อยู่บนถนนสายนี้เช่นกัน


๑๑.๔๐ นาที

ฉันค้นพบว่า เชียงใหม่เจริญขึ้นมาก ไม่ว่าจะร้านอาหาร หรือ ร้านกาแฟ ล้วนมีให้เห็นกันอยู่ทั่วไป แทบจะเรียกได้ว่า มีร้านใหม่ๆตกแต่งทันสมัยเกิดขึ้นทุกตรอกซอกถนน
ซึ่งหากเทียบกับเมื่อหกเจ็ดปีที่แล้ว ในยุคที่เศรษฐกิจตกใหม่ๆ เชียงใหม่ซบเซาไปมาก ร้านรวงต่างพากันปิดตัวลง นักประกอบการรายน้อยรายใหญ่ต่างเก็บตัวอย่างเงียบๆ การเคลื่อนไหวของธุรกิจในเชียงใหม่แทบจะเรียกได้ว่า นิ่งงัน ผู้คนไม่กล้าตัดสินใจทำธุรกิจกันเลย
แต่ในวันนี้,
ฉันเห็นกับตาว่าเชียงใหม่เปลี่ยนแปลงไปมากจริงๆ
ความเจริญอย่างที่ไม่เคยเห็นในยุคไหนๆ ได้มาเคาะประตูชาวเชียงใหม่แทบทุกบ้านเลยทีเดียว
สังเกตจากการขยายถนนใหม่ การขุดสร้างอุโมงค์ลอดถนนอย่างมโหฬาร หรือ การเปิดอุตสาหกรรมในอำเภอสันกำแพงอย่างใหญ่โต ย่อมสะท้อนให้เห็นว่า
ใบไม้กำลังผลิดอกงดงาม ที่เชียงใหม่แล้ว
ผลิอย่างเป็นไปได้ ผลิอย่างมั่นคง และผลิอย่างมีอนาคต

๑๒.๐๐ นาที

ฉันเข้ามานั่งดื่มกาแฟในร้านกาแฟร้านสวยและมีสเน่ห์ร้านหนึ่ง
ร้านมีชื่อดึงดูดใจว่า “ Queen of Cups” ซึ่งอยู่บนถนนนิมมานเหมินทร์นั่นเอง


ด้วยกาแฟที่หอมอบอวลไปทั่วร้าน ทำให้ฉันอดถามถึงกาแฟชื่อดังของที่ร้านไม่ได้ ซึ่งสองบุรุษร่างเล็กท่าทางทะมัดทะแมงผู้กำลังง่วนกับการ “ปรุง“กาแฟอยู่หลังเคาเตอร์ ต่างตอบตรงกันว่า “ ลอง Ice honey latte ดูไหมครับ ที่ร้านอื่นยังไม่มี“

บรรยากาศร้านนี้ให้ความรู้สึกอันแสนแปลกประหลาด เป็นความรู้สึกลึกลับ และน่าสนเท่ห์ อาจเพราะของรอบๆร้านตกแต่งไปด้วยวัตถุโบราณ มีทั้งนาฬิกาโบราณ ถ้วยโถโอชามแบบโบราณ เครื่องต้มกาแฟโบราณ แถมโต๊ะและเก้าอี้ในร้านก็ยังใช้ของสไตล์เก่า แบบยุคเมื่อ ห้าสิบหกสิบปีที่แล้ว แลัวยังโคมไฟเก่าแก่ที่ตกแต่งหลากหลายแบบผสมผสานกัน ไหนจะกระจกพม่าบานใหญ่นั่นด้วย
เอ..ฉันชักถูกชะตากับร้านนี้ขึ้นมาแล้วสิ…


๑๓.๓๗ นาที

ฉันเริ่มต้นถามถึงเจ้าของร้าน จึงได้รู้ว่า ที่แท้สองหนุ่มที่ มีฝีมือในการชงกาแฟ ก็คือ เจ้าของร้านกาแฟ นั่นเอง
และฉันได้รู่้ต่ออีกว่า เขาทั้งสองเพิ่งเปิดร้านกาแฟเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ และได้รับการต้อนรับอย่างดีจากคอกาแฟชาวเทศและชาวเชียงใหม่ทั้งหลาย

“ ผมสองคนเรียนจบมาทางศิลปะ และเคยสอนอยู่ที่ม.ช.ครับ“

นั่นเองเป็นคำตอบว่า ทำไมร้านถึงได้ถูกจัดตกแต่งอย่างมีฝีมือและรสนิยมนัก

“ ที่คิดจะเปิดร้านกาแฟ เพราะเราสองคนมีความชอบส่วนตัว ในเรื่องดื่มกาแฟ“

สุธี ให้ข้อมูลกับฉันเมื่อฉันเอ่ยถามถึงที่มาของร้าน

“ ผมเป็นคนชอบดื่มกาแฟถึงขั้นที่เรียกว่าติด ใช้เวลาอยู่ในร้านกาแฟนานๆ หมดเวลาไปกับการคุยกับเพื่อนฝูง ที่ชอบไปนั่งแลกเปลี่ยนความคิดกัน“
“ นั่นเป็นสาเหตุที่ส่วนตัวมากๆ ที่ทำให้ผมมาเปิดร้านกาแฟ คือ ผมชอบ“

วสันต์สนับสนุนขึ้น
“ อย่างการตกแต่งร้านด้วยของเก่าก็ด้วย เพราะพวกผมชอบสะสมของเก่า พอมีมากเข้า ก็มานั่งมองดูว่าจะทำอย่างไรดี ประจวบกับสุธีชวนมาทำร้านกาแฟ ผมก็เลยตกลงใจ ที่จะเอาของที่วางเต็มบ้านของผมมาจัดการเสียที (หัวเราะ) ผมหมายถึงเอามาเป็นเมนตกแต่งร้านน่ะครับ”

สุธีพยักหน้ารับและพูดต่อว่า

“ ผมว่าการแต่งร้านเป็นหัวใจและสเน่ห์ของร้านกาแฟนะครับ มันบอกถึงรสนิยม เป็นการสร้างบรรยากาศในการดื่มกาแฟ อย่างร้าน ไม่ว่าโทนสี วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ พวกเราเลือกใช้เพื่อให้สอดคล้องกันครับ
พวกเราเรียนมาทางศิลปะ จะละเอียดถี่ถ้วนกับการตกแต่งเป็นพิเศษ“

ร้านกาแฟ ในความหมายของQueen of Cups เป็นเสมือนศูนย์กลางของคนชอบดื่มกาแฟ เป็นที่ที่คนชอบรสชาติกาแฟอันเข้มข้น สามารถมาดื่มได้ที่นี่ มานั่งดื่มพูดคุย อันสามารถเกิดสังคมย่อยๆขึ้นได้
ฉันถามต่อไปว่า ตลาดในเชียงใหม่เป็นอย่างไรบ้าง ต้อนรับดีไหม เขาทั้งสองหัวเราะขึ้นพร้อมกัน

“ ตอนแรกก็คิดหนักเหมือนกัน เพราะพวกผมสองคนไม่ใช่คนเชียงใหม่“
อ้าว..
“ จริงครับ ผมสองคนมาเรียนที่นี่ แต่ไม่อยากกลับ เพราะชอบเชียงใหม่เสียแล้ว“
นี่ละ มนต์รักเมืองเหนือ แล้วไม่กลัวหรือ เชียงใหม่เองก็มีร้านกาแฟเต็มไปหมด

“ ผมทำการบ้านกันอย่างหนักก่อนเปิดร้าน หาข้อมูลทุกอย่าง“ วสันตกล่าวยิ้มๆ

“ ลองทำกาแฟเอง ปรุงรสเอง และทดลองว่ากาแฟที่ขั้วแค่ไหนดี แบบไหนอร่อย ผมว่าเราใช้เวลามากกับมัน ไม่ใช่อยากเปิดก็เปิด เพราะฉะนั้น เราค่อนข้างภูมิใจเรื่องของรสชาติกาแฟของรัานครับ” สุธีเสริม
และวิถีชีวิตอันเรียบง่ายของคนเชียงใหม่มีอิทธิพลกับร้านกาแฟไหมละนี่?

“ มีครับ“ สุธีตอบเสียงหนัก “ มีมากด้วย เพราะเชียงใหม่เป็นเมืองที่การใช้ชีวิตไม่ต้องดิ้นรนอะไรมาก คนมีเวลาเยอะ พวกเขาใช้เวลาแค่สิบห้ายี่สิบนาทีในการไปไหนมาไหน ส่วนนี้เองทำให้พวกเขามาร้านกาแฟ มาดื่มกาแฟกันได้ง่ายๆ คือไม่เสียเวลาในการเดินทางมาก“
มิน่าเล่า ร้านกาแฟในเชียงใหม่ถึงมีมากเหลือเกิน

“ผมว่าจุดหนึ่งที่เราเห็นว่าร้านกาแฟมีมากขึ้นในเชียงใหม่ เป็นเพราะวิถีชีวิตของคนมันเปลี่ยนไป อีกอย่าง เป็นกระแสนิยมด้วย (หัวเราะ) เพราะตอนนี้มีคนที่อื่นย้ายมาอยู่เชียงใหม่เยอะขึ้น คนมาทำธุรกิจมากขึ้น นักเรียนต่างถิ่นก็มีมาก คนพวกนี้จะเปิดใจกว้าง จะพร้อมรับกาแฟในรูปแบบใหม่ และนิยมกาแฟสดมากขึ้น“ สุธีอธิบาย
“ การเติบโตของเชียงใหม่ในแง่ธุรกิจขึ้นอยู่กับคนกลุ่มใหม่กลุ่มนี้ด้วยครับ“
พูดกันถึงเรีื่องธุรกิจในเชียงใหม่ คิดอย่างไรกันบ้าง?

“ ธุรกิจขนาดย่อมเติบโตมาก คนสร้างงานกันเองมากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจเกี่ยวกับดีไซน์ แทบจะเรียกว่าเป็นแหล่งผลิตที่ใหญ่มาก“
วสันต์เสริม
และถ้าจะให้แนะนำสำหรับใครก็ตามที่อยากจะทำธุรกิจในเชียงใหม่ละ?
“ ดีครับ เป็นเมืองที่น่าสนใจ คือ ผู้คนที่นี่มีชีวิตเรียบง่ายก็จริง แต่ชอบของใหม่อยู่เสมอ เพราะฉะนั้น คุณจะต้องกระตือรือล้นอยู่ตลอดเวลา ลูกค้าอาจจะมากในตอนแรก แต่ก็อาจจะหายไปเลย ไปนั่งอยู่ร้านใหม่ก็ได้ ส่วนใหญ่นักธุรกิจจะเจอคนเชียงใหม่ปราบเซียนด้วยวิธีนี่ละ“ วสันต์พูดจบและหัวเราะ สุธีพูดต่อว่า
“ ร้านนี้พวกผมทำด้วยใจรัก เราเอารสกาแฟเป็นตัวมัดใจลูกค้า คนเชียงใหม่จะเห่ออะไรเป็นพักๆจริงๆ แล้วก็จะเสื่อมความนิยมลง ตัวอย่างแบบนี้ ร้านอาหารมีเยอะมาก เปิดใหม่และปิดตัวลงอยู่ตลอดเวลา“
“ แต่ข้อดีก็มีอยู่นะครับ ผมมองจากร้านกาแฟผมนะ เพราะที่เชียงใหม่เราไม่่จำเป็นต้องลงทุนสูงมาก ความเสี่ยงน้อยลง แต่ต้องใช้ความคิดเยอะ เพื่อให้ประโยชน์ต่อผู้บริโภค ความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว จึงจำเป็นมาก ที่ร้านกาแฟจะต้องมีครับ!“
สุดท้าย สุธีและวสันต์ทิ้งท้ายไว้ สำหรับคนที่อยากจะเปิดร้านกาแฟว่า

“ ต้องมีความชอบส่วนตัวนะ อันนี้ผมยืนยัน เพราะถ้าชอบ และมีเงินทุนนิดหน่อย มองหาทำเลดีๆ ก็ทำได้เลย แต่ต้องทำการบ้านเยอะม๊าก (หัวเราะ) ต้องคิดว่าเราจะให้คนดื่มกาแฟที่ดีที่สุดได้อย่างไร และนอกจากรสชาติของกาแฟ เราให้อะไรกับลูกค้าบ้าง เช่น บริการที่ดีเป็นต้น“
นั่นคือ ความคิดในแง่มุมหนึ่ง ของชายหนุ่มสองคน ที่กำลังก่อร่างสร้างฐานอยู่เมืองเชียงใหม่นี่

๒๐.๐๐ นาที

ฉันนั่งรถยนต์ของเพื่อนกลับบ้าน
และต้องข้ามฟากข้ามสะพานนวรัฐผ่านแม่น้ำปิง
ฉันเห็นแสงไฟสีส้มของร้านอาหารเรืองรองสะท้อนในน้ำเป็นแสงสีสวยวูบวาบ
………………..
ครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ เชียงใหม่เป็นเมืองศูนย์กลางการค้าใหญ่ ประกอบไปด้วยพ่อค้าจากหลายหัวเมือง
ในอดีต เชียงใหม่เป็นเมืองเอกที่ประชาชนล้านนาจะติดต่อค้าขายกับพม่า และแลกเปลี่ยนสินค้ากัน
……………
ยามนี้..
พม่ากำลังจะเปิดน่านฟ้า กำลังจะเปิดตัวสู่สังคมโลก กำลังจะปรับปรุงพัฒนาประเทศ ซึ่งแน่นอน เชียงใหม่จะกลับมาเป็นเมืองท่าใหญ่อีกครั้งหนึ่ง
ยามนี้..
อดีตที่ถูกเก็บเงียบถึงความอลังการของล้านนาจะถูกรื้อฟื้นกลับขึ้นมาอีก
……
ใบไม้กำลังผลิงามในแผ่นดินเหนือนี้อีกครั้ง
พร้อมกับรากเหง้าทางวัฒนธรรมที่หยั่งรากลึก ด้วยใจที่รักจะถนอมไว้ ของคนชาวล้านนา…
………………………

กาแฟสูตรพิเศษจากร้าน Queen of Cups coffee
Ice Honey Latte (ราคา 55 บาท)

กาแฟขั้วเข้ม
นมสด
น้ำผึ้ง
ฟองนม
และ หยดน้ำผึ้งประมาณ หนึ่งช้อนโต๊ะ เพื่อตกแต่งกาแฟ


Coffee Recipe from Queen of Cups coffee,
at Nimmahemin Road,Chiangmai,Thailand

Ice Honey Latte ( 55 bath)
Roast dark coffee (4 or 5)
Milk
Honey
Floating milk
And one spoon of honey for decoration

บทความในหนังสือ Thai UK



สุขภาพกาย สุขภาพจิต โดย มีนา




ถ้าคุณไปห้างสรรพสินค้า แน่นอนค่ะ คุณย่อมเห็นเครื่องสำอางค์มากมายหลายยี่ห้อโฆษณาสรรพคุณเกี่ยวกับครีมบำรุงผิวที่ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น ความจริงเครื่องสำอางค์เหล่านั้นก็มีส่วนบำรุงให้ใบหน้าใสจริงอยู่นะคะ ถ้าคุณหยุดใช้ผลิตภัณฑ์แล้วเมื่อใด ผิวคุณจะแสดงปฎิกิริยาทันที อาจจะคล้ำลงทันตาเห็น หรือเป็นผื่นแดงอะไรทำนองนั้น นั่นเกิดจากที่เรา สปอยผิวของเราด้วยเครื่องสำอางค์มากเกินไปค่ะ เหมือนกับเรารับประทานอาหาร fast food นั่นละค่ะ อิ่มจริง แต่ไม่ถึงแต่ข้างในแท้ๆ
อย่างไรก็ดี แม้เหตุการณ์อย่างนี้อาจจะไม่เกิดขึ้นกับทุกคน แต่ดิฉันอยากแนะนำให้ลองมาปฎิบัติการดูแลผิวจากภายในก่อนดีกว่านะคะ ฉบับนี้ ดิฉันจึงนำเคล็ดลับการทำให้ใบหน้าดูใส อ่อนเยาว์อยู่เสมอ มาฝากค่ะ และโบนัสสำหรับเคล็ดลับนี้ ก็คือ ทำได้ทั้งผู้ชายผู้หญิงค่ะ ไม่จำกัดเพศ

ใครๆเขาก็บอกว่า “YOU ARE WHAT YOU EAT” ประโยคคลาสสิกประโยคนี้ ดิฉันรับรองว่าจริงค่ะ เพราะถ้าคุณทานอาหารที่กระตุ้นเซลของร่างกาย ก็จะทำให้ผิวหนังคุณสวยสดใส และแข็งแรง ลองมาปฎิบัติกันดูนะคะ
1. สิ่งที่ควรระวังสำหรับพวกรักผิวใสก็คือ อาหารจำพวกแป้ง เช่น pasta, bread และ potatoes
อาหารจำพวกแป้งกลุ่มนี้มีส่วนดีสำหรับร่างกาย เมื่อคุณอายุยังน้อย แต่จะไม่ค่อยดีสำหรับผิวหน้า และ อาจจะเพิ่มน้ำหนักและตีนกา อีกต่างหากค่ะ
อาหารที่ควรจะรับประทาน
อาหารจำพวก ปลา ค่ะ ปลาเป็นอาหารอันดับหนึ่งของพวกที่มีความปรารถนาที่จะให้ผิวหน้าสวยใสและอ่อนเยาว์ นอกจากโปรตีนในปลาจะไม่ทำให้อ้วนแล้ว ยังทำให้กล้ามเนื้อใต้ผิวหนัง (โดยเฉพาะผิวหน้า) แข็งแรงอีกด้วยค่ะ ปลามีหลายชนิดด้วยกัน ที่มีประโยชน์ต่อกล้ามเนื้อสูงๆ ก็มี ปลาแซลมอน Salmon,ปลาจาระเม็ด( Halibut), ปลาเทราท์ (Trout) ,ปลาเฮอร์ริง(Herring), Mackerel (ปลาลักษณะนี้ คล้ายปลาทู), ปลาซาดีน( Sardines), Shellfish ,Tuna
อย่าลืมนะคะ ว่าโปรตีนมีส่วนสำคัญสำหรับผิวของเราอย่างยิ่ง และเราก็ไม่ควรที่จะละเว้นการทานโปรตีนในแต่ละมื้อ โปรตีนชนิดอื่นๆที่มีผลกระตุ้นและชะลอผิวแห้งก่อนวัย ก็มี ไข่, Parmean Cheese, Plain whole-milk yoghurt โยเกริ์ตชนิดนี้ดีจริงๆ ค่ะ ดิฉันทั้งรับประทานและบำบัดผิวหนัง คือ ทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้สิบห้านาที ทุกวัน เป็นเวลาหนึ่งเดือน ผิวหน้าสดใสทันตาเห็นเลยค่ะ, อกไก่Turkey ก็ดีค่ะ แต่ลอกหนังออกก่อนนะคะ

2. เมื่อโปรตีน เป็นอาหารที่สร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง ด่านต่อไปที่ชมรมรักใบหน้าอ่อนเยาว์ ต้องรับประทานก็คือ อาหารจำพวก ผักใบเขียว ค่ะ ที่พิเศษสุดก็คือ มะเขือม่วง หรือ aubergine, asparagus,avocado, bean sprout , broccoli , cauliflower, celery, courgettes, cucumber, garlic, ginger, lettuce , olives, peppers, rocket, spinach, tomatoes,โอ้โห นับว่าสบายมากสำหรับคนไทยนะคะ เพราะว่า ผักเหล่านี้นำมาประกอบอาหารได้ง่าย อยู่ในเมนูง่ายๆของพวกเราอยู่แล้ว จริงไหมคะ? อ้อ ถ้าใครที่ยังวัยรุ่นอยู่แต่ไม่ต้องการให้ตีนกาหรือรอยเหี่ยวย่นเกิดขึ้นบนใบหน้า ก็ให้รีบรับประทานผักใบเขียวแต่เนิ่นๆนะคะ ทานตั้งแต่เริ่มหนุ่มเริ่มสาว ก็เหมือนเราฝากดอกเบี้ยไว้ในธนาคารนั่นละค่ะ ถึงเวลาอันสมควรก็เบิกมาใช้ โดยไม่ต้องหักโหมหามาบำรุงผิวหน้ามากเกินไปไงคะ

3. อย่างที่รู้ๆกัน การรับประทานผักและผลไม้เยอะๆ มีผลดีต่อร่างกายมาเนิ่นนานแล้ว แต่ข้อห้ามสำหรับคนไม่ต้องการตีนกา ก็คือ อย่าทาน”กล้วย”มากเกินไปนะคะ เพราะกล้วยเป็นอาหารที่มีความเป็นแป้งสูง ซึ่งเหมาะที่สุดสำหรับรับประทานในมื้อเช้าเท่านั้นค่ะ ส่วนผลไม้ที่มีส่วนชะลอความเหี่ยวย่นของผิวสูง ก็คือ Apple, และจำพวก Berries ทั้งหลาย, แคนตาลูป, แตงไทย, แตงโม, กีวี, และ ลูกแพร์ ค่ะ

4. แม้ว่า พืชตระกูลถั่ว จะมีโปรตีนสูง ดีสำหรับร่างกาย แต่ถั่วบางอย่างก็ควรหลีกเลี่ยงสำหรับผิวหนังสวยๆนะคะ เช่น ถั่วที่ผ่านการทอดและปรุงรสด้วยเนยเป็นต้น แต่ว่า ซุปถั่ว หรือ ถั่วอบ สามารถทานได้ และดีต่อผิวหนังค่ะ รวมทั้งถั่วจำพวก ลูกนัท, แอลมอล, ถั่วเหลือง ข้าวโอ๊ต ซึ่งถั่วเหลืองหรือเต้าหู้ จะทำให้ผิวหนังยืดหยุ่นและไม่เป็นขุยได้ง่ายค่ะ

5. เมื่อมีข้อแนะนำการรับประทานอาหาร ก็ต้องมีการแนะนำการดื่มด้วย จริงไหมคะ? ขอแนะนำน้ำเปล่าๆเนี่ยละค่ะ กฎข้อที่ว่า ดื่มน้ำ วันละ ๘ แก้ว ยังไม่มีวันเชยหรอกค่ะ ถ้าจะถามว่าน้ำสำคัญอย่างไร ก็จะขอตอบว่า น้ำมีออกซิเจน ซึ่งเมื่อดื่มเข้าไปแล้ว จะช่วยล้างทำความสะอาดระบบในร่างกาย ขับของเสียออกมาทางเหงื่อ อีกทั้งดื่มน้ำมากๆ ผิวพรรณก็จะเปล่งปลั่งด้วยค่ะ โดยเฉพาะน้ำสะอาด และ น้ำแร่ค่ะ

6. เครื่องดื่มจำพวก ชา หรือ กาแฟ นี่ ตัวอันตรายต่อผิวเลยนะคะ ถ้าคนที่ติดชาหรือกาแฟ ไม่ดื่มไม่ได้ ถ้าอยากจะมีผิวสวยๆ ก็ค่อยๆงดก็ได้ค่ะ หรือ ไม่ก็ให้ดื่มน้ำเปล่าให้เยอะๆ เช่น โดยปรกติ กฎมีอยู่ว่า ให้ดื่ม น้ำ วันละแปดแก้ว ก็ให้ดื่มมากกว่าแปดแก้วมากๆ เพื่อรักษาออกซิเจนในผิวค่ะ และสำหรับคนที่ติดชา ก็ให้หันมาดื่มชาเขียวแทนนะคะ ชาเขียวนั้นนอกจากจะลดความดันโลหิตสูงแล้ว ยังช่วยลดน้ำตาลในโลหิตด้วยค่ะ

7. ออกกำลังกายมากๆ เป็นทางออกที่ดีของผิวหน้านะคะ เพราะการออกกำลังจะกระตุ้นเซลทุกอย่างในร่างกาย และเลือกการออกกำลังกายที่ใช้ระบบการหายใจให้สม่ำเสมอ เช่น โยคะ ว่ายน้ำ หรือ วิ่ง เป็นต้น ออกกำลังกายแค่วันละ ๒๐ หรือ ๓๐ นาทีเท่านั้นละค่ะ ผิวหน้าคุณจะสดใสทันตาเห็น

ข้อสรุป ๗ ข้อ สำหรับคนที่มีปัญหาผิวหน้ากร้าน และต้องการให้ผิวหน้าอ่อนเยาว์ขึ้นในทันที ควรปฎิบัติดังนี้ค่ะ
๑, ดื่มน้ำวันละ ๘ แก้ว เป็นอย่างต่ำนะคะ
๒.ปรับการดื่มเครื่องดื่มจำพวก ชา หรือ กาแฟ หันมาดื่ม ชาเขียว แทนค่ะ
๓. ทานปลาแซลมอลอย่างน้อย ๕ มื้อต่อสัปดาห์ค่ะ ยิ่งถ้าได้ทาน organic salmon ด้วยแล้ว จะได้ผลเร็วขึ้นค่ะ
๔. ให้ทานอาหารโปรตีนในทุกๆมื้อค่ะ ทานให้มากกว่าแป้ง แต่ต้องเป็นอาหารที่มีโปรตีนสูงมากกว่าไขมันนะคะ
๕. ไม่ควรหรืองดรับประทานอาหารจำพวกของทอด แล้ว หันมาทานอาหารที่ต้องใช้การ steam สูงๆ หรือไม่เช่นนั้น อาหารอบหรืออาหารย่าง ก็ยังดีค่ะ
๖. ควรทานผักในทุกๆมื้อ โดยเฉพาะผักใบเขียว
๗. เปลี่ยนพฤติกรรมจากการทานอาหารขบเคี้ยว มาทานผลไม้แทนค่ะ

ฉบับนี้ขอเป็นวิชาการก่อนนะคะ ฉบับหน้า จะนำเมนูสำหรับคนที่รักสุขภาพและรักอาหารชีวจิตมาฝากค่ะ อีกหนึ่งเดือนเจอกันนะคะ อย่าลืม “ think before eat “ นะคะ คุณผู้อ่านทีรัก.

Thai Mural Painting 2


ศิลปะแบบเรียลลิสม์ ในจิตรกรรมฝาผนังของไทย (บทท้าย)
๓. จิตรกรรมฝาผนังสมัยรัชกาลที 1 (๑๘๕๑- ๑๘๖๘) หรือสมัยสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ความเคลื่อนไหวทางศิลปะจิตรกรรมฝาผนังในประเทศไทย ได้ดำเนินมาถึงทางแยกใหญ่แล้วในรัชสมัยของรัชกาลทีี่ ๔ นี่เอง อย่างที่เราคงจะรู้กันดีอยู่แล้วว่า ในรัชสมัยรัชกาล ที่ ๔ นั้น สยามประเทศเริ่มรับอิทธิพลตะวันตกมากขึ้น วิถีการใช้ชีวิตของชาวสยามก็ดูเหมือนว่า จะเปิดสู่โลกภายนอกมากยิ่งขึ้น เจ้านายเริ่มพูดภาษาต่างประเทศและเรียนภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสกันอย่างกว้างขวาง เนื่องจากสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและชนชั้นปกครอง ต่างเล็งเห็นว่า การเรียนภาษาต่างประเทศนั้นมีแต่จะเอื้อคุณและส่งผลเป็นประโยชน์มหาศาล เนื่องจากตอนนั้นเป็นยุคฝรั่งล่าอาณานิคม หากเราจะทำตัวแตกแยกจากฝั่งตะวันตกมากเกินไป ย่อมจะเกิดเหตุการณ์ไม่ดีอย่างแน่นอน อิทธิพลของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมนี้เอง ส่งผลไปยัง “ศิลปะ” รวมทั้งจิตรกรรมฝาผนัง อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การสร้างสรรค์ศิลปะ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด ที่จะแสดงออกให้ต่างชาติ ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทในสยามอย่างมาก ได้ตระหนักเห็นว่า สยามไม่เป็นรองใคร ไม่ใช่เมืองป่าเถื่อน และเป็นประเทศที่ไม่ด้อยน้อยไปกว่าประเทศใดเลย ดังนั้นรูปแบบประเพณีนิยมในการวาดจิตรกรรมฝาผนังที่วางรากมาเนิ่นนาน ตั้งแต่สมัยอยุธยา จึงเปลี่ยนรูปโฉมใหม่ แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง โดยเปลี่ยนจากศิลปะที่เป็นลักษณะคตินิยมสูงสุด มาสู่ศิลปะแบบเหมือนจริง หรือ ที่เราเรียกกันว่า เรียลลิสม์ ก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า อะไรคือ เรียลลิมม์ ในจิตรกรรมฝาผนังของไทย? แน่ละ..ศิลปินคงจะไม่ลุกขึ้นมาวาดรูป Portrait นางฟ้า เทวดา ในลักษณะสามมิติมีแสงเงาชัดเจนเหมือนอย่างศิลปินชาวอิตาลีเป็นแน่ แต่เปลี่ยนจาก วาดภาพเทวดานางฟ้ามาวาดคนธรรมดา เปลี่ยนจากเขียนภาพที่แสดงอารมณ์นิ่งและสงบ มาสู่ความตื่นเต้นและเต็มไปด้วยอารมณ์ ยกตัวอย่างเช่นรูปใน วัดมัชฌิมาวาส จ. สงขลา ผู้อ่านจะสังเกตเห็นว่า วิธีการเขียนท้องฟ้า เมฆ ภูเขา ใช้ระบบการเขียนรูปแบบทัศนียวิทยาอย่างเด่นชัด เช่น การผลักระยะใกล้ไกล โดยให้พระมหาชนกและนางมณีเมขลา ( รูปตัวละครทั้งสองที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีทอง) ดูเด่นขึ้นด้วยการใช้เส้นเปอร์สเปคทีฟ ให้รูปเรือโบราณฝรั่งจูงสายตาของผู้ดู ไปหยุดที่ภาพตัวละครเอกได้อย่างแยบยลและเป็นธรรมชาติ อย่างไรก็ดี ตัวละครทั้งสองยังมีลักษณะการเขียนแบบไทยประเพณี แต่ธรรมชาติรอบตัว ล้วนแสดงออกอย่างดีว่าศิลปินตั้งใจจะเขียนให้ภาพออกมาในแบบเรียลลิสม์เพียงใด
เช่นลักษณะทะเลที่แปรปรวน ใช้เทคนิคการเขียนฝีแปรงลงจังหวะสีปัดป้าย บ่งบอกความรุนแรงน่ากลัวได้อย่างเหมาะสม สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งในจิตรกรรมยุคนี้คือ การนำภาพวิถีชีวิตและบทบาทต่างๆของตัวละครฝรั่งมาใช้ในจิตรกรรมฝาผนังของไทย ในมุมมองของผู้เขียนเองแล้ว รู้สึกประทับใจมากเป็นพิเศษ เหตุเพราะ ผู้เขียนมีความเห็นว่า การเขียนรูปฝรั่งและเรืื่องราวของพวกเขาในแผ่นดินสยามเหล่านี้ เปรียบเสมือน “บันทึก” ที่เราสามารถนำมาเชื่อมกับประวัติศาสตร์หรือสังคมศาสตร์ได้อย่างดีเยี่ยมทีเดียว จิตรกรที่เลื่องชื่อว่ามีความเป็นหนึ่งในการเขียนรูปในลักษณะลอกเลียนภาพฝรั่งในยุคนี้ คือ ท่านขรัวอินโข่ง ( วัดบวรนิเวศวิหารและวัดบรมนิวาส, น.ณ.ปากน้ำ) ท่านขรัวอินโข่งนิยมเขียนภาพตึกรามบ้านช่องแบบยุโรป ซึ่งล้วนลอกมาจากภาพลายเส้นภาพพิมพ์ที่่ขายกันอย่างแพร่หลายในสมัยนั้น บางทีท่านขรัวอันโข่ง ก็เขียนภาพโดยใช้ฉากคนฝรั่่งเดินเล่นตามสวนสาธารณะ หรือ กำลังแข่งม้า ขี่ม้า หรือ นั่งรถม้า เป็นต้น (วัดโสมนัสวิหาร) และหากจะโยงไปถึงภาพในเชิงพุทธศาสนาแล้วละก็ ท่านขรัวอินโข่งก็ดูจะมีบทบาทโดดเด่นอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ถือว่าท่านเป็นผู้นำของการเปลี่ยนแปลงภาพเขียนคติใหม่คนหนึ่งก็ว่าได้ โดยนิยมเขียนภาพพุทธศาสนาเชิงปริศนาธรรมแทนที่จะเขียนภาพสอนชาวบ้านแบบตรงไปตรงมาดังแต่ก่อน ซึ่งผู้ที่เป็นเอกแห่งการประพันธ์เรื่องพุทธศาสนาในเชิงปริศนาธรรม มีอุปมาอุปไมยอย่างแยบคาย ก็คือ สมเด็จพระจอมเกล้านั่นเอง
กลับมาที่เรื่องการเขียนฉากต่างประเทศ ฉากต่างประเทศอีกแนวหนึ่งที่ได้รับความนิยมและเฟืื่องฟูอย่างมากในสมัยเรียลลิสม์ตอนต้น ก็คือ การเขียนฉากที่มีอารมณ์ฝันเฟื่องถึงต่างแดน หรือ ที่เราเรียกกันว่า “ Exotic” ซึ่งส่วนใหญ่นำมาจากบทพรรนาของหม่อมราโชทัยจาก “นิราศลอนดอน” ฉากเฟื่องฝันเช่นนี้ยังสามารถเห็นได้ใน “วัดโสมนัสวิหาร” ที่มีตัวละครเอกชื่อ “ อิเหนา” ประกอบไปด้วยฉากแปลกตางดงามยิ่งนัก.
( หากผู้อ่านจะนึกเคลิ้มตามผู้เขียน เกี่ยวกับฉากต่างประเทศในจิตรกรรมไทยในรัชสมัยนี้แล้ว ผู้เขียนขอแนะนำให้ไปศึกษาหรือดูเพื่อความฉ่ำใจได้ที่ วัดโสมนัสวิหาร, หรือ ผนังพระอุโบสถวัดประทุมวนาราม,และวัดมหาพฤฒาราม)
จิตรกรรมฝาผนังสมัยรัชกาลที่ ๕ (๑๘๖๘- ๑๙๑๐) หรือสมัยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
จิตรกรรมฝาผนังสมัยรัชกาลที่ ๕ ยังคงได้รับอิทธิพลการพัฒนาการครั้งยิ่งใหญ่ สืบเนื่องมาจากสมัยรัชกาลที่ ๔ อยู่มาก แต่แตกยอดออกไปพัฒนาทางด้านการตกแต่งมากขึ้น เช่น ภาพฉากบรรยายวิถีชิวิตของคนสยาม เราจะเห็นภาพหญิงสาวใส่เสื้อคอกระเช้า แขนหมูแฮม มือถือร่ม และชายหนุ่ม นุ่งผ้าม่วง สวมเสื้อราชปะแตน ถือหมวกและไม้เท้า และอุปกรณ์แปลกๆที่นำมาประกอบในฉากล้วนมาจากต่างชาติทั้งสิ้น

จิตรกรรมฝาผนังสมัยรัชการที่ ๖ ( ๑๙๑๐- ๑๙๒๕) หรือสมัยสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
จิตรกรชื่อเด่นและเฟื่องฟูยุคนั้นมีหลายท่านด้วยกัน เช่น สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์,พระอนุศาสตรวิจิตรกร,พระวรรณาวาดวิจิตร.
พระเทวาภินิมมิต ในสมัยรัชกาลที่ ๖ นี้ ศิลปะวิทยาการส่งผลต่อจิตรกรรมฝาผนังอย่างเต็มตัว ศิลปินหลายท่านฝึกเรียนและวาดภาพระบบกายวิภาค ( Anatomy) อย่างจริงจัง ศิลปินที่น่ายกย่องอย่างยิ่ง ในความคิดสร้างสรรค์ถึงขั้นอัจฉริยะ คือ สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ ท่านทรงออกแบบภาพลายเส้นแบบไทยประยุกต์ โดยเขียนภาพลักษณะตัวละครไทยประเพณีก็จริงแต่ก็เขียนแบบกายภาคศาสตร์แบบฝรั่งด้วยเช่นกัน ทำให้ภาพเกิดเป็นรูปแบบเฉพาะตัว ลายเส้นมีทั้งอ่อนหวานและมีเปอร์สเปคทีฟอย่างฝรั่ง นับว่าเป็นการผสมผสานทั้งของใหม่และเก่าได้อย่างงดงามยิ่งนัก

จิตรกรรมฝาผนังสมัยรัชกาลที่ ๗ ( ๑๙๒๕- ๑๙๓๒)หรือ สมัยสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
สมัยรัชกาลที่ ๗ เป็นยุคที่สยามประเทศก้าวเข้าสู่ความเป็นตะวันตก ทั้งในแง่สังคมและศิลปะอย่างเต็มที่ รัชกาลที่ ๗ ทรงรับจ้างศิลปินชาวอิตาเลี่ยน เข้ามาเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังในพระที่นั่งอนันตสมาคม และผนังอุโบสถวัดราชาธิราช ภาพที่เขียนล้วนใช้แสงเงาแบบตะวันตกทั้งสิ้น ซึ่งนับว่าเป็นยุคแห่งความสมัยใหม่อย่างแท้จิรง ศิลปิินในยุคนี้ล้วนสนุกและตื่นกับวัฒนธรรมของยุโรปอย่างมาก ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ จิตรกรรมฝาผนังในวัดพระแก้ว อย่างไรก็ดี น.ณ.ปากน้ำเขียนไว้ตอนท้ายของรัชสมัยนี้ว่า
“ ยุคท้ายของ รัชกาลที่ ๗ เห็นจะเป็นจิตรกรรมฝาผนังที่พระอุโบสถวัดระฆังโฆสิตาราม ซึ่งเป็นแบบทั้งโบราณและใหม่ ที่ปรากฏบนผนังพระโบสถ์และวิหารเป็นครั้งสุดท้าย..”
หลังจากนั้น สยามได้เปลี่ยนแปลงการปกครอง ในปี ๒๕๗๕.

ผู้เขียนจึงขอจบบทความ “ศิลปะแบบเรียลลิสม์ในจิตรกรรมฝาผนังของไทย” ถึงเพียงแค่ยุคสมัยของรัชกาลที่ ๗ เท่านั้น เพราะรูปแบบจิตรกรรมฝาผนังในสมัยรัชกาล ๘ และ ๙ ล้วนเป็นรูปแบบที่แตกต่างจากศิลปะเรียลลิสม์มาก ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้เขียนหวังว่า ผู้อ่านจะพอมองเห็นได้ชัดเจน ว่าศิลปะไทยของเรานั้น แสดงออกถึง สังคม เศรษฐกิจ ประวัติศาสตร์ และการปกครองเพียงใด หากผู้อ่านมีโอกาสไปเที่ยวในเมืองไทย อย่าลืมแวะไปชมภาพจิตรกรรมฝาผนังในวัดต่างๆ แล้วกลับมาเล่าให้กันฟังบ้างจะเป็นไร.


หนังสือแนะนำ
จิตรกรรมฝาผนังหนึ่งในสยาม,เมืองโบราณ น.ณ.ปากน้ำ
วัดโสมนัสวิหาร, เมืองโบราณ น.ณ.ปากน้ำ
และหนังสือเรื่องวิเคราะห์จิตรกรรมฝาผนังของ น.ณ.ปากน้ำทั่วไป
X ฉบับหน้า จะเป็นเรื่องการแต่งกายของสตรีและบุรุษไทยในสมัยต้นและกลางรัตนโกสินทร์

Thai mural Painting 1




ศิลปะแบบเรียลลิสม์ ในจิตรกรรมฝาผนังของไทย (บทต้น)

ก่อนที่ผู้เขียนจะเริ่มอธิบายรูปแบบและลักษณะต่างๆในจิตรกรรมฝาผนังของไทย ผู้เขียนอยากลองให้ผู้อ่านนึกเล่นๆหรือจินตนาการอย่างรวดเร็วเสียก่อนว่า อะไรคือสิ่งแรกที่ผู้อ่านเห็นหรือมีในความนึกคิดเกี่ยวกับจิตรกรรมฝาผนังแบบไทยๆของ
เรา(ความจริงจะเรียกว่าแบบไทยๆก็ไม่ถูกนักเพราะเราเป็นประเทศพุทธศาสนาแบบเดียวกับประเทศที่แถบเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายประเทศ จึงทำให้ จิตรกรรมฝาผนังมีลักษณะคล้ายคลึงกันอย่างมาก จนบางทีแทบจะแยกไม่ออกทีเดียว) ผู้เขียนขอสารภาพว่า ก่อนหน้านั้น ผู้เขียนไม่ได้คิดหรือเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับจิตรกรรมฝาผนังของไทย นอกจากจะทราบและเข้าใจว่า จิตรกรรมฝาผนังนั้นบ่งบอกวิถีชีวิต ประเพณี และวัฒนธรรมของคนสมัยโบราณ ดังเช่นที่เราได้เห็นว่า หนังไทยที่มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ในช่วงปีหลังๆมานี้ เริ่มเปิดฉากด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังของไทยกันบ่อยๆ เช่น เรื่องแม่นาค เรื่องขุนแผน หรือ เรื่องสุริโยไท นอกจากนั้น จิตรกรรมฝาผนังยังทำให้ผู้เขียนมีความสุขใจ อย่างยิ่งยามเมื่อได้ไปวัดและได้มีโอกาสดูรูปพุทธประวัติหรือทศชาติชาดกภาคต่างๆ
ของพระพุทธเจ้าจากฝาผนังโบสถ์หรือวิหาร ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันไปในแต่ละวัด แต่ละภูมิภาค แต่ละความเข้าใจในการที่จะถ่ายทอดศิลปะออกมา หากแต่ทั้งหมดนั้น ก็ยังไม่เท่ากับความรู้ครึ่งหนึ่ง หลังจากที่ได้อ่านงานเขียนเชิงวิเคราะห์จิตรกรรมฝาผนังของบรมครู ท่านอาจารย์ประยูร อุลุชาฎะ หรือ น. ณ ปากน้ำ หรือ พลูหลวง ศิลปินและนักประวัติศาสตร์ของไทย ผู้ซึ่งมีความลึกซึ้งและเฉียบคมในการวิเคราะห์จิตรกรรมฝาผนังอย่างหาผู้ใดเทียบได้เหมือน ผู้เขียนจึงขอกล่าวแต่เนิ่นๆว่า เนื้อหาที่ผู้เขียนจะนำมาเสนอต่อไปนี้นั้น ล้วนอยู่บนพื้นฐานแนวการวิเคราะห์ของอาจารย์ประยูรแทบทั้งสิ้น ซึ่งผู้เขียนได้นำมาประกอบกับบทความชิ้นนี้ โดยนำเสนอแนวการวิเคาระห์ของอาจารย์ประยูรและของตัวผู้เขียนเองสลับกันเป็นช่วงๆไป ยกตัวอย่างเช่น ผู้เขียนมีความสนใจเป็นพิเศษ ในเรื่องของการเมืองการปกครอง ที่สามารถมองผ่านจิตรกรรมฝาผนังเหล่่านี้ได้ เพราะผู้เขียนเชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงทางเหตุการณ์บ้านเมืองก็ดี วิสัยทัศน์ของชนชั้นปกครองก็ดี ย่อมสะท้อนให้เห็นทางผลงานศิลปะได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิลปะแบบเรียลลิสม์ ที่เริ่มต้นในสมัยสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่สี่ ( 1851-1868)
ทำให้เราเห็นว่าอิทธิพลตะวันตกที่เริ่มเข้ามามีบทบาทในเมืองไทยนั้น ไม่ได้มาแบบค่อยเป็นค่อยไปอย่าง เช่นอิทธิพลศิลปะจีนในสมัยรัชกาลที่สาม แต่เข้ามาอย่างรวดเร็วและรุนแรง อีกทั้งพัฒนาอย่างต่อเนื่องอีกด้วย ซึ่งนั่นอาจจะบอกอะไรเรามากมาย เกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมืองและความคิดของผู้คนในขณะนั้น
(ศิลปะแบบ Realism คือ การเขียนภาพให้มีลักษณะสามมิติ มีการใช้ Perspective หรือ ระบบทัศนียวิทยาให้เกิดระยะ,ใช้แสงเงา, และการใช้น้ำหนักสีให้เกิดความใกล้ไกล มักจะเห็นได้ชัดในงานเขียนธรรมชาติ(Landscape) หรือ ภาพหุ่นนิ่ง )

จิตรกรรมฝาผนัง ก่อนช่วงสมัยศิลปะแบบเรียลลิสม์

1. จิตรกรรมฝาผนังในสมัยปลายอยุธยา หรือช่วงต้นสมัยของพระนารายณ์ (2199-2231 หรือ 1656-1688) จิตรกรรมฝาผนังส่วนใหญ่ ยังนิยมเขียนแบบสมัยอยุธยาตอนกลาง ดังเช่น การเขียนเรื่องทศชาติชาดกและพระพุทธเจ้าเทคนิคที่ใช้เป็นเทคนิคการเขียนฝาผนัง นิยมใช้ระบบเทมเพอรา คือ การใช้สีฝุ่นบดให้ละเอียดแล้วจึงนำไปผสมกับกาว โดยมีสีขาวเป็นตัวผสมหลักเพื่อให้เกิดสีอ่อนแก่ ดังตามกรรมวิธีเขียนสีฝุ่นทั่วไป เทคนิคนี้เราจะเห็นว่า มีการใช้อย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นตะวันออกหรือตะวันตก ต่างกันตรงที่การใช้กาวผสม ซึ่งใช้วัสดุแตกต่างกันและให้ความเหนียวข้นที่ไม่เหมือนกัน เช่น ทางอิตาลีและประเทศตะวันตก นิยมใช้สีฝุ่นผสมไข่แดงและน้ำ เริ่มใช้กันมาตั้งแต่ตอนปลายของศตวรรษที่สิบห้า ในขณะที่ไทยเรานิยมใช้ยางจากไม้นำมาทำเป็นกาว ( เพราะไข่แดงจะแห้งเร็วในประเทศแถบร้อน ซึ่งจะยุ่งยากมากในการเขียนรูป) เนื้อเรื่องและภาพที่เขียนส่วนใหญ่ก็จะเป็นภาพคน ภาพสัตว์ในเทพนิยาย หรือ ภาพสถาปัตยกรรมต่างๆ เช่น วัดวาอาราม หรือปราสาทราชวัง โดยลักษณะภาพที่เขียนออกมานั้นจะเป็นภาพแบบนาฏลักษณ์ ตามคตินิยมของจิตรกรรมไทย สังเกตได้จากลักษณะเส้น ที่วาดจะแสดง และบ่งบอกอาการท่าทางต่างๆของตัวแบบได้ชัดเจน (ให้ลองนึกถึงนาฏศิลป์ไทยก็ได้ เช่น เวลาตัวละครต้องการจะแสดงอาการใดๆก็จะมีท่าเฉพาะนั้นๆ) การเขียนภาพเช่นนี้นั้น จิตรกรจะต้องร่างภาพเสียก่อน เพราะภาพที่เขียนจะต้องอาศัยชั้นเชิงหรือทักษะอย่างยิ่งยวด เนื่องจากจะต้องเขียนออกมาให้ดูอ่อนหวานกลมกลืนทั้งกับตัวแบบและพื้นที่ว่างหรือ
ฉาก ทุกอย่างในภาพจะต้องเป็นกลุ่มก้อน มีช่องไฟ ในจังหวะที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดความงดงามในลักษณะที่เราเรียกกันว่า “ ไอเดียลิสติก” นั่นเอง หากแต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การเขียนในยุคอยุธยานี้ยังไม่มีการเน้นหนักเรื่องของความเหมือนจริง จนทำให้ภาพออกมาดูแบน และไม่มีมิติ แม้ภาพฉากธรรมชาติต่างๆ ก็เน้นเขียนความโค้งของใบไม้และดอกไม้ ในเฉพาะการลอกเลียนแบบของรูปทรงมากกว่าความเหมือนจริง ทั้งใบไม้ดอกไม้ยังล้วนถูกประดิษฐ์ประดอยด้วยลายไทยโบราณอีกด้วย นอกจากนั้นแล้ว ภาพมนุษย์ที่นิยมวาด ก็เป็นภาพเหมือนของเหล่าเทวดามากกว่าคนจริงๆ ส่วนภาพสัตว์ต่างๆ ก็เป็นสัตว์ในเทพนิยาย เป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์ ที่น่าสนใจคือ ภาพเขียนในลักษณะเช่นนี้ ก็จะเกี่ยวโยงไปถึงกษัตริย์ด้วย เพื่อเน้นให้เห็นถึงความเชื่อเรื่องที่ว่า กษัตริย์คือสมมุติเทพ กำเนิดในเทวสถานและมีชีวิตอยู่ในหมู่มวยเทพเทวดา ซึ่งเราจะพบภาพเขียนที่มีเรื่องราวเช่นนี้มากมายในยุคอยุธยา นั่นรวมทั้งเรื่องราวของพระพุทธเจ้าด้วย โดยเฉพาะฉากมารผจญซึ่งมักปรากฎให้เห็นอยู่ที่ภาพพื้นหลังของพระพุทธเจ้าเสมอๆ
ศิลปะในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น (สมัยรัชกาลที่ 1-3) จิตรกรรมฝาผนังสมัยต้นรัตนโกสินทร์ตอนต้นนั้น แม้จะรับรูปแบบการวาดมาจากสมัยอยุธยา เช่น พื้นหลังของฉากพุทธประวัติมักเป็นฉากมารผจญ หากแต่ศิลปะยุคนี้ก็มีลักษณะเฉพาะตัวของตัวเองมากเช่นกัน ทางด้านเทคนิคการวาดรูปนั้นก็ได้มีการพัฒนาขึ้นมาก ทั้งทางด้านรูปแบบและการใช้สี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการใช้สีนั้น ดูเหมือนว่าจะได้รับอิทธิพลมาจากอินเดียมากทีเดียว คือ เน้นความเจิดจ้าและสดใส และในแต่ละสี ก็มีความหมายสำคัญบ่งบอกลักษณะพิเศษในตัว ผู้เขียนขอยกตัวอย่างผลงานในสมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 (1782-1809) ในสมัยรัชกาลนี้ รูปแบบของการเขียนภาพให้มีมิติดูเหมือนจะถูกพัฒนาขึ้นด้วยเทคนิคพิเศษ คือ เทคนิคการใช้สีและเส้น ในลักษณะของการตัดเส้น กรรมวิธีนี้จะใช้การตัดเส้นด้วยพู่กันตามรอบนอกของภาพคนสำคัญ เช่น ตัดเส้้นด้วยสีแดงรอบนอก ตรง แขน ลำตัว ขา และเท้า ส่วนตรงใบหน้า ต้องมองไปถึงให้เห็นถึงรายละเอียด ก็จะพบว่าจิตรกรนิยมใช้พู่กันอันเล็กๆ ตัดเส้นด้วยสีน้ำตาลแดงเพื่อให้ใบหน้าดูคมและเด่นขึ้น โดยเน้นหนักตรงขอบตา คิ้ว และเส้นระหว่างริมฝีปาก อีกทั้งยังใช้สีทองตัดขอบกับเส้นรอบนอกสีแดงซ้ำอีกทีด้วย ถ้าหากภาพนั้นเป็นภาพของกษัตริย์ จะเน้นลงทองที่อาภรณ์เครื่องประดับมากเป็นพิเศษ จุดประสงค์ของการตัดเส้นด้วยสีทองนี้ เพื่อให้เห็นถึงอำนาจและความแข็งแกร่ง ซึ่งเราอาจสังเกตพบวิธีเขียนอย่างนี้จากภาพทวารบาลได้เช่นกัน เพราะทวารบาลต้องมีลักษณะเข้มแข็ง มีฤทธิ์อำนาจเป็นพิเศษ ซึ่งกรรมวิธีนี้ ถือว่าทำให้จุดประสงค์ของการเขียนภาพทวารบาลศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น
ผู้เขียนขอกล่าวถึงจิตรกรรมฝาผนังในสมัยถัดไปแต่เพียงสั้นๆ เนื่องจากจิตรกรรมฝาผนังสมัยรัชกาลที่สองมีความคล้ายคลึงกับสมัยรัชกาลที่หนึ่ง
มาก หากแต่ก็มีรายละเอียดแตกต่างกันเล็กน้อย เนื่องจากสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงมีใจรักด้านวรรณกรรม เราจึงเห็นภาพที่เล่าเรื่องทศชาติชาดกอย่างสนุกสนานและมีความหลากหลาย ตัวอย่างเช่น เรื่องการเดินทางของพระมหาชนก
2. จิตรกรรมฝาผนังสมัยรัชกาลที่สาม ( 1824-1851) หรือสมัย สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ในช่วงสมัยนี้ จิตรกรรมฝาผนังของไทยก้าวหน้าไปมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เนื่องด้วยว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสนับสนุนการสร้างวัดอย่างมาก ทำให้ความคิดสร้างสรรค์ของจิตรกรได้รับการเอาใจใส่ตามไปด้วย แต่จิตรกรก็ยังไม่ละทิ้งประเพณีการเขียนรูปแบบเก่าๆเสียทีเดียว โดยเห็นได้ว่า การใช้เส้นสามเหลี่ยมหยักๆเป็นเส้นแบ่งภาพ ( เส้นสินเทา) ที่ใช้มาตั้งแต่สมัยอยุธยา ( เพราะในสมัยนั้น วัดไม่มีหน้าต่าง จึงต้องใช้เส้นสินเทาแบ่งภาพ) ก็ยังใช้กันอยู่ในโดยทั่วไป ผลงานยุคนี้ ถ้ามองจากมุมมองของผู้เขียน ก็คือ เป็นช่วงที่จิตรกรรมไทยเริ่ม ‘ทันสมัย’ มากยิ่งขึ้น หากแต่ยังไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง การเขียนแบบ “ ไอเดียลิสติก” ก็ยังคงนิยมเขียนกันอยู่ แต่เทคนิคเท่านั้นที่เปลี่ยนไปบ้าง
อีกเรื่องที่ผู้เขียนสนใจอย่างมากก็คือ วัฒนธรรมของจีน ที่เข้ามาสู่สยามประเทศอย่างเต็มตัวในสมัยรัชกาลที่สามนี้เอง จะด้วยว่าเพราะการขยายอำนาจของจีนหรืออะไรก็ตามแต่ ผู้เขียนยังไม่ขอเขียนถคงรายละเอียดตรงนี้ นอกจากจะขอย้ำว่า ศิลปะยุคนี้พัฒนาภายใต้พื้นฐานของการเมืองและเศรษฐกิจ จิตรกรนำภาพเขียนภาพจีนมาประยุกต์ให้มาเป็นอย่างไทยได้อย่างน่าแปลกใจ ที่ผู้เขียนประหลาดใจ ก็เพราะว่า ถ้าไม่มองกันชัดๆลึกๆ เราก็คงไม่สังเกตเห็น จนอาจนึกได้ว่านี่ละคือ ภาพวาดจิตรกรรมในลักษณะไทยแท้ๆ ทั้งที่ความจริงแล้ว คือการประยุกต์ศิลปะอย่างแยบยลของช่างเขียนไทย หรือให้พูดง่ายๆ ก็คือ รับอิทธิพลจริง แต่ไม่ทิ้งรากเหง้าของตัวเอง หากผู้อ่านอยากไปเห็นภาพนี้ด้วยตา ก็ลองไปดูได้ที่อุโบสถวัดนางชี กับ วัดทองนพคุณ ( จากหนังสือของ น ณ.ปากน้ำ) ที่สำคัญคือ จิตรกรรมจีนนิยมลงสีดำตรงเพดานและตกแต่งด้วยลวดลายสีทอง ซึ่งช่างไทยก็รับมาอิทธิพลนี้มาตกแต่งอุโบสถด้วยเช่นกัน หรือในจิตรกรรมฝาผนัง จะเห็นว่าฉากบางฉาก มีหนังสือคัมภีร์พระพุทธศาสนา( ของจีนนิยมเขียนภาพคัมภีร์ในงานจิตรกรรม) และฉากตกแต่งห้องต่างๆก็ล้วนแปลกตาไป ทั้งนี้ เพราะมีการตกแต่งด้วยลวดลายของจีนนั่นเอง เช่น มีการใช้ผ้าม่านประกอบในงาน และผ้าม่านนั้นมีลวดลายของดอกไม้จีนตกแต่งอยู่ด้วย.

ผู้เขียนขอจบบทต้นแต่เพียงเท่านี้ ถือว่า เป็นการแนะนำจิตรกรรมฝาผนังของไทย ในลักษณะทั่วไปเสียก่อนที่จะเข้าถึงสมัย เรียลลิมส์ ซึ่งผู้เขียนยอมรับว่า เป็นสมัยที่น่าสนใจมากสมัยหนึ่งของศิลปะในประเทศไทย.