วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เรื่องบนโต๊ะ (อาหาร) 2


ตอน 2


การเสริฟอาหารฝรั่งมีหลายขั้นตอน โดยเฉพาะเวลาที่เราสั่งอาหารเป็นคอร์สเต็ม มาเริ่มตามลำดับกันดีกว่าค่ะ

ซุป
ซุป เป็นอาหารเรียกนำ้ย่อยอันแรกที่ถูกปากใครหลายคน แบ่งเป็นซุปข้นกับซุปใส ถ้าเป็นซุปข้นจะมีรสชาติเข้มข้น มีส่วนผสมของนมจึงทำให้อิ่มท้องได้มากกว่า ซุปข้นที่นิยมสั่งมารับประทานก็มี ซุปเห็ด ซุปผักโขม ซุปฟักทอง ซุปข้าวโพด ส่วนซุปใสก็เป็นพวก ซุปหัวหอม ซุปผัก ซุปมะเขือเทศ ส่วนวิธีทานซุปให้ถูกต้องนั้น ก็คือ ต้องค่อยๆ ตักซุปออกจากตัวเราค่ะ ไม่ใช่ตักเข้าตัวเราแบบวิธีของไทย ใช้ช้อนตักซุปจากบริเวณตรงกลางถ้วยในทีท่าตักออกจากตัวจรดขอบถ้วย แล้วรับประทานเรื่อยๆจนหมด และเมื่อใกล้จะหมดแล้ว จะมีน้ำซุปเหลืออยู่คอดถ้วย ช้อนวิธีเดิมจะลำบาก ให้เอียงถ้วยเข้าหาตัว หรือ ออกจากตัวเล็กน้อย และค่อยๆตักซุปทาน วิธีนี้ถือว่า ไม่ผิดมารยาทค่ะ และไม่ต้องอายที่จะปฏิบัตินะคะ เมื่อรับประทานเสร็จแล้ว ให้วางช้อนหงายไว้ในถ้วยหรือวางไว้บนถาดรองซุป เป็นการส่งสัญญานว่า รับประทานซุปเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ

สลัด
สลัดสำหรับอาหารเรียกน้ำย่อย จะมีสัดส่วนที่ไม่มากนัก อุปกรณ์ที่ใช้ทานสลัด คือ ส้อมเท่านั้น แต่อนุโลมให้ใช้มีด ถ้าเกิดผักบางชนิดตัดให้ขาดลำบาก แต่จะไม่ใช้ช้อน ข้อควรระวังคือว่า ร้านอาหารส่วนใหญ่จะไม่เตรียมมีดไว้ให้ตั้งแต่แรก ถ้าคุณใช้มีดตัดผักแล้ว ให้เก็บไว้ที่เดิม อย่าทิ้งไว้บนจาน ไม่อย่างนั้น บริกรจะเก็บไปเมื่อรับประทานเสร็จ และคุณจะขาดอุปกรณ์มีดเมื่อถึงเวลาอาหารหลัก

ขนมปัง
ปรกติซุปนิยมเสริฟมาพร้อมกับขนมปังและเนย แต่ธรรมเนียมแล้ว คุณต้องเริ่มจากการทานซุปก่อน อย่าเพิ่งกระโดดไปทานขนมปังนะคะ ขนมปังควรทานหลังทานซุปแล้ว หรือ ทานร่วมกับอาหารหลักค่ะ ส่วนตำแหน่งการวางของขนมปังนั้น มักจะทำให้งงกันบ่อยๆ ยิ่งเวลาทานร่วมกับคนหลายๆคน เราจะสงสัยบ่อยครั้งว่า จานขนมปังอันไหนเป็นของเรา จำไว้นะคะ ว่าส่วนใหญ่แล้วจานขนมปังจะวางอยู่ทางซ้ายมือของเรา ขณะที่แก้วเครื่องดื่มจะวางอยู่มุมขวามือ มีเทคนิคจำง่ายๆ ว่า B(ซ้าย) D(ขวา) หรือ Bread(ขนมปัง)&Drink(เครื่องดื่ม) นั่นเองค่ะ ส่วนวิธีทานขนมปังที่ดีคือ ค่อยๆ ฉีกเป็นชิ้น และจึงทาเนยสำหรับรับประทานค่ะ
อาหารหลัก
เรามาเริ่มจากการใช้อุปกรณ์ก่อนดีกว่าค่ะ
วิธีใช้มีดกับส้อมของอาหารหลักก็มีเอกลักษณ์แตกต่างกันไปค่ะ
สไตล์อเมริกา
ใช้มีดข้างขวา และ ใช้ส้อมข้างซ้าย ใช้มีดหั่นอาหารออกเป็นชิ้นๆ สักสามสี่ชิ้น และวางมีดไว้บนจานด้านขวาก่อน แล้วจึงย้ายส้อมจากด้านซ้ายมาทางด้านขวา และใช้ส้อมในมือขวาตักอาหารเข้าปาก
สไตล์ยุโรป
ใช้มีดข้างขวา และ ใช้ส้อมข้างซ้าย เมื่อใช้มีดหั่นอาหารแล้ว สามารถใช้ส้อมจากมือซ้ายตักอาหารเข้าปากได้เลย

ถ้าคุณทานอาหารกันเองกับครอบครัวหรือเพื่อนๆ ก็สามารถทานได้ตามสะดวกสไตล์ไหนก็ได้ แต่ถ้าทานกับชาวต่างประเทศ ควรจะปฎิบัติตามลักษณะของวัฒนธรรมนั้นๆค่ะ เช่น คุณจะรับประทานอาหารกับคนฝรั่งเศส ก็เลือกวิธีถือมีดถือส้อมทานอาหารแบบสไตล์ยุโรปค่ะ
อาหารจำพวกเนื้อ
มักจะมากับน้ำซอส ถ้าน้ำซอสยังไม่ได้ถูกราดบนตัวเนื้อมาก่อน ให้ราดน้ำซอสให้ทั่วชิ้นเนื้อ ก่อนจะรับประทาน อย่าราดไปทานไปนะคะ
อาหารจำพวกปลา
มักเสริฟพร้อมกับมะนาว ถ้าเป็นมะนาวฝานๆ ให้นำไปวางไว้บนเนื้อปลา ถ้าเป็นมะนาวครึ่งซีก ให้บีบมะนาวบนเนื้อปลาได้เลย และไม่ควรจะพลิกเนื้อปลารับประทาน
อาหารที่อยู่ในกระดาษฟอยล์
อาหารอบบางชนิดจะถูกเก็บไว้ในกระดาษฟอยล์เพื่อให้เก็บความร้อน ให้ใช้มีดแทงเข้าไปในกระดาษฟอยล์และใช้ส้อมช่วยแกะกระดาษให้แยกออกจากกัน อย่าใช้มือนะคะ เพราะมันจะร้อนมาก
ขนมหวาน
เมื่อจบหมดอาหารแล้ว จะต่อด้วยขนมหวาน ซึ่งนั่นก็แล้วแต่ความต้องการของคุณ ว่าอยากทานอะไร ถ้าอาหารมีรสชาติเข้มข้นหน่อย คุณอาจจะจบด้วยไอศกรีมรสผลไม้ หรือ ซอร์เบก็ได้ วิธีทานไอศกรีมที่ดีคือค่อยๆตักจากข้างล่างก่อน เพราะจะได้ไม่ดูเลอะเทอะ และถ้าคุณสั่งพวกทาร์ตหรือพาย ให้ใช้มีดกับส้อมสำหรับทานขนมทานแบบเดียวกับอาหาร ถ้าคุณสั่งพวกขนมเค้กที่มาในรูปแบบสามเหลี่ยม ให้เริ่มทานที่มุมแหลมของสามเหลี่ยมก่อนค่ะ

นี่เป็นแค่ส่วนประกอบเล็กๆเท่านั้นนะคะ มารยาทต่างๆ ในการรับประทานอาหารยังมีอีกมาก นั่นรวมถึงมารยาทในการวางตัวและการพูดคุยด้วยค่ะ ขอให้รับประทานอาหารให้อร่อย Bon Appe’tit ค่ะ

Tips
- เวลาถือแก้วไวน์ ให้จับที่ก้าน อย่าจับที่ตัวแก้ว เพราะอุณหภูมิของไวน์จะเปลี่ยนได้จากอุณหภูมิในมือของคุณ

- ถ้าบังเอิญตักประทานอาหารที่มีร้อนๆมาเข้าปากไปแล้ว ให้หาอาหารที่มีความเย็น เช่น ผักสด รับประทานตามทันที

- ไม่เป็นการผิดมารยาท ถ้าคุณทานอาหารไม่หมด ให้รวมอาหารไว้ที่มุมเดียวกัน อย่าให้ดูเลอะเทอะ และพยายามเหลือของในจานไว้พอเป็นพิธีบ้าง ไม่อย่างนั้น จะดูเหมือนว่า คุณไม่ได้ทานอะไรมาเลยทั้งวัน

เรื่องบนโต๊ะ (อาหาร) 1


ช่วงเวลาสำคัญสำหรับชีวิตครอบครัวอย่างหนึ่ง คือ การรับประทานอาหารร่วมกันค่ะ ไม่ว่าจะเป็นทานอาหารที่บ้านหรือทานที่ร้านอาหารก็ล้วนแล้วแต่สร้างความสนุกสนานให้กับสมาชิกใน
ครอบครัวทั้งนั้นค่ะ แต่อย่าได้มองแค่มุมเดียวนะคะ ว่าการรับประทานอาหารเป็นแค่ช่วงเวลาแห่งการพบปะสังสรรค์กันเท่านั้น บางที อาจจะเป็น ช่วงเวลาสำคัญทางธุรกิจ ที่คุณๆ มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ทีี่่จะต้องปฎิบัติตัวให้ดูมีบุคลิกที่ดีค่ะ แหม..อย่าเพิ่งนึกว่า chic girl มาขู่ให้เกรงกลัวการออกงานสังคมนะ แต่เพราะเราเชื่อว่า ถ้าเรารู้ธรรมเนียมอย่างดีแล้ว เราย่อมทำทุกอย่างอย่างถูกต้องอย่างสมควรค่ะ ฉบับนี้ เราเริ่มจากการ สังสรรค์รับประทานอาหารเชิงธุรกิจก่อนค่ะ

การรับประทานอาหารในเชิงธุรกิจนั้น อาจจะหมายรวมไปถึง การเป็นเจ้าของธุรกิจแล้วเลี้ยงรับรองลูกค้า หรือ เป็นลูกจ้างไปร่วมงานทานข้าวกับเจ้านาย หรือ ผู้ร่วมงานก็ได้ค่ะ มาเริ่มจากการจัดโต๊ะอาหาร ก่อนนะคะ ส่วนใหญ่แล้ว งานเลี้ยงอาหารในเชิงธุรกิจจะไม่ค่อยนิยมจัดแบบบุฟเฟ่ เพราะต้องการเน้นเวลาเพื่อต่อยอดในการคุยเรื่องราวทางธุรกิจ และส่วนใหญ่แล้ว ตำแหน่งที่นั่ง จะถูกจัดลำดับความสำคัญไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ ที่นี้มาดูลายละเอียดเรื่องบนโต๊ะกันค่ะ
ผ้าเช็ดปาก
เราจะเริ่มจากผ้าเช็ดปากก่อนค่ะ สำหรับผ้าเช็ดปากที่วางอยู่บนโต๊ะนั้น เราจะหยิบและค่อยคลี่ๆออก แล้วจึงวางไว้บนตัก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราต้องดูด้วยว่า เจ้าภาพ หรือ เจ้านาย ที่เป็นหัวหน้าทีม เริ่มวางผ้าเช็ดปากแล้วหรือยัง ถ้ายัง เราต้องรอจนกว่าหัวหน้าทีมจะวางผ้าบนตักเขาหรือเธอก่อนค่ะ กรณีนี้ ถ้าบริกรสังเกตุว่าเจ้าภาพยังคงสนุกกับการสนทนาจนลืมจัดการเรื่องของผ้า พวกเขาจะ จัดแจงคลี่ผ้าออกแล้ววางบนตักให้เจ้าภาพเลยค่ะ ซึ่งนั่นถือเป็นสัญญานบ่งบอกว่า การรับประทานอาหารกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วค่ะ ในระหว่างรับประทานอาหารนั้น คุณสามารถใช้ผ้าเช็ดปากได้ตลอดเวลา แต่เวลาใช้ อย่าเช็ดแบบถูๆ ให้คุณใช้เฉพาะมุมผ้าเช็ดปากแบบเบาๆเท่านั้น เมืื่อคุณรู้สึกอิ่มแล้ว ให้วางผ้าเช็ดปากบนโต๊ะตรงด้านซ้ายมือหรือขวามือของคุณก็ได้ค่ะ นั่นถือเป็นการบ่งบอกว่าคุณรับประทานอาหารเสร็จแล้ว บริกรจะรีบมาเก็บจานไปทันทีค่ะ (อย่าเผลอวางผ้าเช็ดปากทั้งๆที่ยังไม่อิ่มนะคะ) แต่ถ้าคุณมีอันต้องลุกไปทำธุระระหว่างรับประทานอาหารทั้งๆที่ยังไม่อิ่ม ให้วางผ้าเช็ดปากบนเก้าอี้หรือพนักเก้าอี้ก็ได้ค่ะ รับรอง กลับมานั่งโต๊ะ อาหารยังไม่ถูกยกไปไหนๆแน่นอนค่ะ
การจัดโต๊ะ
อุปกรณ์บนโต๊ะอาหารนั้น จะถูกจัดไว้ตั้งแต่แรก แต่จะมีการสับเปลี่ยนได้ ถ้าคุณสั่งเมนูที่มีความเฉพาะเจาะจง เช่น สั่งอาหารที่มีปลาเป็นหลัก คุณจะเห็นว่า การจัดอุปกรณ์สำหรับทานนั้นจะวางเป็นระเบีียบเรียบร้อย เรียงจากด้านนอกเข้าหาด้านในตัว ด้านนอกสุดจะเป็นจุดเริ่มต้นของอาหารค่ะ ส่วนใหญ่จึงใช้สำหรับ Starter ถ้าคุณทานสลัด คุณจะต้องหยิบส้อมจากทางด้านซ้ายมือสุด และมีดจากทางด้านขวามือสุด แต่ถ้าคุณสั่งซุป ช้อนซุปจะวางอยู่ขวามือสุด นอกเสียจากคุณไม่ได้สั่งstarter บริกรจะเตรียมอุปกรณ์ไว้สำหรับเมนูหลักให้เลยค่ะ ส่วนช้อนและส้อมที่มีขนาดเล็กมากและวางอยู่เหนือช่องสำหรับวางจานอาหาร คือ ช้อนและส้อมสำหรับทานของหวานและชากาแฟค่ะ


การสั่งอาหาร
ส่วนใหญ่การรับประทานอาหารลักษณะนี้ นิยมเลือกแบบ Course menu คือ จัดอาหารเป็นชุด และเรียงเป็นลำดับตามคอร์สต่างๆ ค่ะ เพราะฉะนั้น จึงเริ่มจากสั่งเครื่องดื่มก่อน แล้วจึงสั่ง starter ตามด้วย main course หรือชุดอาหารหลัก และจบลงด้วยของหวานค่ะ
ถ้าจะให้กันความหน้าแตกระหว่างรับประทานอาหาร ต้องพึงระวังการสั่งอาหารไว้ด้วยนะคะ เช่น ถ้าคุณเป็นคนทานน้อย อะไรนิดหน่อยก็เริ่มอิ่ม ควรเลือก starter เป็นพวกสลัดผัก อย่าเริ่มด้วยซุปเชียวนะคะ เพราะซุปจะทำให้อิ่มมาก ส่วน main course นั้น ก็ต้องคอยระวังอาหารเป็นพวกเส้้นๆ เช่น สปาเกตตี เพราะถ้าไม่ถนัดเรื่องม้วนเส้นจริงๆ จะทำให้ทานไปเกร็งไปได้ค่ะ ถ้าคุณเลือก
ทานปลา และอยากดื่มไวน์ประกอบ ก็ควรเลือกทางไวน์ขาวค่ะ เพราะไวน์ขาวจะทำให้ทานปลาอร่อยขึ้น ส่วนถ้าคุณเลือกพวกเนื้อสัตว์ต่างๆ ให้เลือกทานกับไวน์แดงค่ะ

การดิื่มไวน์
ในระหว่างที่รออาหาร บริกรมักเสิรฟเครื่องดื่ม และในกรณีที่สั่งไวน์เป็นขวดมาดื่มนั้น บริกรมักนำไวน์มาให้ทดลองดื่มก่อนที่รินแจกทุกคน โดยจะรินไวน์ในแก้วไวน์สักส่วนหนึ่งเพื่อให้ทดลองชิม ส่วนใหญ่จะนิยมให้เจ้าภาพเป็นผู้ชิม แต่บางทีเจ้าภาพจะแนะนำให้สุภาพสตรีเป็นผู้ชิม และในกรณีนี้นั้น พวกสาวๆ ควรจะเตรียมตัวให้พร้อม อย่าทำท่าทางอายและตอบปฎิเสธ แต่ให้รับแก้วไวน์มาชิมได้เลยค่ะ วิธีชิมก็ง่ายๆ เริ่มจากการแกว่งแก้วไวน์เพียงเล็กน้อยก่อน แกว่งเบาๆพอให้อากาศออกไปจากเนื้อไวน์ จากนั้นค่อยๆยกแก้วไวน์ขึ้นดม พอให้รับรู้กลิ่น แล้วจึงบรรจงดื่มช้าๆ อย่าเพิ่งกลืนไวน์ทันทีแต่ให้อมไว้สักพักเพื่อรับรู้รส จากนั้น จึงค่อยๆ กลืนลงลำคอ ขออย่าตกใจ เมื่อในระหว่างปฎิบัติการสำคัญนี้ ทุกสายตาจะหยุดมองมาที่คุณ เพราะว่าคุณเป็นคนตัดสินรสชาติในเวลานี้ค่ะ ทันทีที่คุณกลืนไวน์ลงลำคอแล้ว สิ่งที่คุณควรตอบสนองต่อบริกร คือ บอกว่าไวน์นั้นดีหรือไม่ และแน่นอนค่ะ ส่วนใหญ่จะตอบว่า “ดี”
เพราะรสชาติไวน์จากแก้วนั้น มักผ่านการคัดเลือกจากเจ้าภาพมาแล้วค่ะ

ฉบับนี้้ถือว่า เป็นอรัมภบทเรื่องราวบนโต๊ะอาหารนะคะ ฉบับหน้า เราจะมาเจาะลึกถึงวิธีการรับประทานอาหารตั้งแต่ Starter จนถึง ของหวานค่ะ
Enjoy your meal ค่ะ Cheers!

Afternoon tea therapy ดื่มชา บำบัดใจ

\
"If you are cold, tea will warm you,
If you are too heated, it will cool you,
If you are depressed, it will cheer you,
If you are exhausted, it will calm you."

“ถ้าคุณหนาว, ชาจะทำให้คุณอุ่น ถ้าคุณรู้สึกร้อนรุ่ม ชาจะทำให้คุณเย็นได้, ถ้าคุณอยู่ในความสลดหดหู่ ชาจะทำให้คุณสดชื่น และถ้าคุณรู้สึกเหนื่อยล้า ชาจะทำให้คุณผ่อนคลาย..” จาก วิลเลี่ยม เกลดสโตน


ในช่วงสามสี่ปีมานี้ ได้ยินคนข้างตัว เพื่อนข้างกาย ร้องหาที่บำบัดจิตบำบัดกายกันวุ่นวายไปหมด เพื่อนหลายคนเลือกเดินทางสายธรรม ไปนั่งปฎิบัติธรรมนั่งวิปัสนา และยืนยันว่าได้ผลดี คือทำให้รู้จักใช้สตินำกาย อันเป็นหัวใจหลักของการดำเนินชีวิต เพื่อนบางคนเลือกออกกำลังกายด้วยโยคะ ที่มีผลเห็นได้ชัดเจนจากรูปร่างที่ได้สัดส่วน ผิวพรรณผ่องใส เนื่องจากได้ฝึกหัดใช้ใจรวมกับกายเป็นหนึ่งเดียวกัน
อาจจะเป็นเพราะว่าปีหลังๆ มานี้ ประเทศไทยเองก็แสนจะวุ่นวาย นอกประเทศก็แสนจะวิกฤต บางทีความเคร่งเครียดอาจจะเข้ามาครอบคลุมถึงในบ้านได้ง่ายกว่าที่คิด
จึงเห็นได้ชัดเจนว่่า กิจกรรมที่จะทำให้หายเครียดหรือบำบัดใจนั้น มีให้เลือกหลากหลายและเริ่มทะยอยโปรโมทด้วยวิธีใหม่ๆ ให้น่าสนใจมากขึ้นด้วย

อันที่จริง การบำบัด สามารถทำได้จากเรื่องง่ายๆ ใกล้ตัว และสามารถทำได้ทุกวัน แต่เราอาจจะคิดไม่ถึงว่าการพูดคุยโทรศัพท์กับเพื่อน การดูหนังฟังเพลง การไปดูหมอดู สิ่งเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องช่วยบำบัดบรรเทาความเครียดทั้งนั้น
และในฉบับนี้่ อยากจะแนะนำถึงการบำบัดใจด้วยวิถีง่ายๆ คือ การดื่มชายามบ่าย ค่ะ

“ชา” มีต้นกำเนิดจากประเทศจีน โดยมีจักรพรรดิเสิน หนุง เป็นผู้ค้นพบเครื่องดื่มชาเป็นคนแรก และเริ่มแพร่หลายในหมู่พระญี่ปุ่นที่เดินทางกลับจากจีน พวกเขาต่างเชื่อกันว่า การผสมผสานกันระหว่างนำ้ร้อน และใบชาที่หอมในจังหวะที่เหมาะสมนั้น ถือเป็นศิลปะชัั้นสูงในการทำให้เกิดสมาธิค่ะ
“ชา” ยังข้ามไปยังอินเดีย และ ก็มาถึงยุโรป เริ่มที่โปรตุเกศ และ ฮอลแลนด์ และหลังจากนั้น ก็แพร่หลายทั่วไปในยุโรป คนตะวันตกนิยมดื่มชากันจนถึงกับเป็นธรรมเนียมนิยม ว่ากันว่า ชาไม่มีการแบ่งชนชั้นวรรณะ คนทุกชนชั้นจะต้องรู้จักการดื่มชาเท่าเทียมกันค่ะ

แต่สำหรับประเพณีการดื่มชาตอนบ่ายๆ เห็นจะเริ่มจากประเทศอังกฤษ ในสมัยของควีนวิกทอเลียเป็นแห่งแรกค่ะ
เรื่องการดื่มชายามบ่ายนั้น มีที่มาจากดัสเชส แอนนา แห่งเบดฟอร์ดค่ะ ต้องเล่าว่า สมัยก่อนในยุคของควีนวิกทอเลียนั้น ชาวอังกฤษนิยมสูตรการทานข้าวอย่างนี้ค่ะ มื้อเช้า- ทานหนัก มื้อเที่ยง- ทานน้อย มื่อค่ำ- ทานหนัก
เป็นสูตรยอดนิยมใช้กันทุกชนชั้นวรรณะ และที่แปลกคือ มื้อค่ำจะเริ่มทานกันตั้งแต่ สองหรือสามทุ่มขึ้นไปค่ะ ที่นี้ลองนึกตามดูนะคะ ว่ามื้อเที่ยงทานน้อย และกว่าจะทานมื้อค่ำ ก็ตั้งสองสามทุ่ม ทำให้มีเวลาห่างกันตั้ง 8- 9 ชั่วโมง และเพราะเหตุผลนี้เองละค่ะ ทำให้เกิดประเพณีดื่มชาตอนบ่ายขึ้นมา เริ่มจากที่ดัสเชสแอนนา ทรงเกิดอาการหิวบ่อยๆ ในเวลาตอนบ่ายๆ ดัสเชสจึงแก้ด้วยวิธีเรียกให้เสริฟชาในเวลาบ่ายสามโมง และนิยมเสวยชากับแซนวิช ขนมเค้ก สคอน ขนมปังปิ้งกับเนยและแยม เมื่อเสวยแล้วก็รู้สึกทรงอิ่มท้องและสบายพระวรกายขึ้น จากนั้นดัสเชสก็ทรงเชิญพระญาติหรือพระสหาย มาร่วมวงดื่มชาและอาหารว่างด้วยกันในเวลาบ่ายสามโมงเป็นประจำจนกลายเป็นแฟชั่นแพร่หลายไปสู่สังคมต่างๆ อย่างรวดเร็ว

สำหรับสาวๆในยุคนั้น การพบปะยามบ่ายเพื่อดื่มชาถือเป็นโอกาสที่จะพูดคุยและแลกเปลี่ยนความรู้ต่อกัน การดื่มชายามบ่าย จึงเป็นเสมือนสังคมเล็กๆ ที่เหล่าสาวๆ จะได้เปิดหูเปิดตารับข้อมูลใหม่ๆ ส่วนหนุ่มๆ มักไปรวมตัวกันที่ coffee house ถึงขนาดมีคำกล่าวว่า “หนึ่งเพนนี แลกได้กับจักรวาล” พูดง่ายๆ คือ คุณจ่ายเงินแค่หนึ่งเพนนีสำหรับชาหรือกาแฟหนึ่งแก้ว แต่สามารถนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ ได้พบเจอพูดคุยเรื่องมีสาระกับคนเก่งๆ หรือ คุยเรื่องธุรกิจก็ยังได้ หลายคนในหน้าประวัติศาสตร์ เช่น ศิลปิน นักปรัชญา และ นักการเมืองก็ได้บันทึกมาแล้วว่า พวกเขาได้ความคิดอันเฉียบคม มาจากบทสนทนาใน คอฟฟี่ เฮ้าท์ ค่ะ

ที่นี้มาพูดถึงเรื่องลักษณะของการดื่มชากันบ้าง คุณๆ อาจจะเคยอ่านหรือเห็นคำว่า Low Tea กับ High Tea ใช่ไหมคะ? บางที อาจจะคิดว่า อ้อ ไฮร์ ที น่าจะเป็นการดื่มชาชั้นสูงหรืออะไรที่มันเริิ่ดๆ แต่ขอบอกว่า ไม่ใช่เลยค่ะ ชายามบ่ายที่เริ่มเสริฟ ในเวลาบ่าย 3 โมง ถึง 5 โมง เย็น พร้อมกับแซนวิช และ เค้ก นั้น เราเรียกว่า Low Tea หรือก็คือ Afternoon tea ค่ะ และ ยังมีอีกลักษณะหนึ่งที่คล้ายๆ กันกับ low tea เรียกกันว่า Cream Tea ค่ะ แหม ชื่อฟังดูน่าทานใช่ไหมคะ? Cream Tea จะมีการเสริฟคล้าย Low Tea หมดทุกอย่าง ยกเว้นแต่นิยมเสริฟชากับสคอนอย่างเดียวไม่มีเค้กหรือแซนวิช และจะเสริฟสคอนกับครีมพิเศษที่เรียกว่า Clotted Cream คือ ครีมที่มีรสชาติหวานมันนุ่มลิ้นอุดมไปด้วยพลังงาน ส่วน High Tea นั้น ความจริงแล้ว เป็นมื้อชาสำหรับชนชั้นทำงานค่ะ เพราะว่ากว่าจะได้ทานข้าวเย็นก็แทบจะเรียกว่าค่ำแล้ว และตลอดทั้งวันก็ทำงานหนัก เลยดื่มชาพร้อมกับอาหารเย็นซะเลย ส่วนใหญ่จะทานกับอาหารหนักๆ เช่น ไก่อบ หมูอบ กับ มันฝรั่งบด เพราะฉะนั้น ถ้าคุณๆ ไปดื่มชาที่ร้านไหนแล้วเห็นคำว่า High Tea ก็ให้เข้าใจตรงกันว่า เสริฟชาพร้อมอาหารหนักนะคะ เรื่องตรงนี้ ดิฉันเคยหน้าแตกหนหนึ่งสมัยเรียนที่ลอนดอนใหม่ๆ เคยเดินเริ่ดเชิ่ดหยิ่งตั้งใจจะไปดื่มชา ในร้านชาชื่อดังที่ชื่อว่า “ Fortnum and Mason” ดิฉันไปราวๆ สิบเอ็ดโมงครึ่ง ถามหาชามาดื่ม เขาก็ตอบว่า “ยังไม่ถึงเวลาเสริฟชา ต้องเริ่มตั้งแต่บ่ายสองโมงขึ้นไป ตอนนี้มีแต่อาหารขาย” เป็นอันว่าดิฉันต้องถอยทับกลับบ้านไปก่อน จากนั้นหนึ่งอาทิตย์ถัดไป ดิฉันกลับไปอีก ถึงที่ร้านเดิมราวๆ บ่ายสามโมง หิวก็หิว เลยตั้งใจจะสั่งพาสต้าครีมเห็ดมาทานกับชา ปรากฏเขาตอบกลับมาว่า
“ มาดาม เราไม่เสริฟอาหารหนักในเวลานี้ ถ้ามาดามอยากดื่มชากับอาหารหนัก ต้องกลับมาตอนหกโมง ถึงจะได้ทาน”
สุดท้าย ดิฉันต้องทานสลัดกุ้งกับนำ้ชาแทนในมื้อนั้น แต่ก็นับว่าอิ่มไปได้ถึงมื้อเย็น
เอาละค่ะ เป็นอันว่าพอจะเห็นภาพของ Afternoon tea แล้วนะคะ
มาต่อกันที่พิธีรีตองอันเป็นธรรมเนียมล็กๆ น้อยๆ ของการดื่มชาค่ะ เช่น
- เมื่อปรุงชาในแก้วชาเสร็จแล้วให้คนตามเข็มนาฬิกาสองรอบ แล้วจึงวางช้อนไว้ข้างแก้วชา
- ถ้าจะดื่มชากับมะนาวที่ฝานเป็นชิ้นเล็กๆ ให้รินชาลงในแก้วก่อนจะใส่มะนาวฝาน และ ไม่ควรเติมนมลงในชาที่ใส่มะนาวฝาน เพราะกรดในมะนาว จะทำปฎิกิริยากับโปรตีนในนมค่ะ
- ถ้านั่งโต๊ะและดื่มชา เวลายกชาดื่ม อย่ายกพร้อมที่รองนะคะ ให้ยกแต่ตัวแก้วดื่มเฉยๆ แต่ถ้าดื่มชาแบบเก้าอี้ดนตรี ให้ยกที่รองแก้วขณะดื่มชาได้ค่ะ โดยให้แก้วชาอยู่ในมือขวา และ ที่รองแก้วอยู่มือซ้ายค่ะ

การได้ดื่มชาในยามบ่ายนั้น เหมือนเป็นช่วงเวลาพักที่เราทุกคนต้องการในช่วงหนึ่งของวัน สำหรับดิฉันการได้พูดคุยสนทนากับเพื่อนฝูง ก็ถือว่าเป็นการบำบัดใจคลายเคลียดไปได้หนึ่งอย่างแล้ว ยิ่งถ้าได้ดื่มน้ำชาหอมๆ พร้อมกับขนม หรือ อาหารว่าง ก็ยิ่งทำให้มีพลังความคิดสร้างสรรค์เพิ่มขึ้นได้อีกค่ะ เพราะชานอกจากจะดื่มเพื่อให้เกิดความสุขต่อจิตใจแล้ว ยังเพิ่มพลังในกายคุณด้วยคุณค่าของสมุนไพรในตัวชาด้วยค่ะ
ถ้าชีวิตสามารถหาความสุขได้โดยง่าย แค่ได้พบได้พูดคุยกับคนที่รักที่สนิทสนม ได้ดื่มน้ำชารสดี ในยามบ่ายที่ร่างกายเริ่มอ่อนล้าและต้องการพลังงาน ดิฉันก็พอใจกับความสุขเล็กๆนี้แล้วค่ะ
และสำหรับคำพูดที่ว่า
“ หนึ่งเพนนี แลกได้กับจักรวาล” คงหมายถึง แลกได้กับโลกแห่งความสุข ที่เกิดขึ้นแค่ช่วงหนึ่งของวัน ความสุขที่เกิดขึ้นได้ง่าย แค่จ่ายหนึ่งเพนนีค่ะ.


Tip วิธีชงชาที่ถูกต้องและอร่อยได้ใจแบบสไตล์อังกฤษ
1. ให้ใช้น้ำร้อนที่ใหม่จริงๆ ห้ามใช้น้ำที่เคยเดือดไปแล้วนำมาต้มอีก
2. เติมน้ำร้อนที่เดือดใหม่ๆ ใส่ลงในกาน้ำชา
3. ให้เลือกใบชาที่ชอบ อาจจะผสมกันกันได้ เช่น ใบชาจีน กับ ดอกกุหลาบแห้ง และตักใบชาที่ผสมแล้วประมาณ 1 ช้อนชาใส่ลงในกาน้ำชาร้อนๆ
4. รอให้ใบชากับน้ำร้อนผสมผสานกันในกาน้ำชา ตั้งเวลาไว้ที่ 5 นาที
5. ระหว่างนั้น ให้ใส่นมสดลงในถ้วยน้ำชา ประมาณครึ่งหรือหนึ่งช้อนชา (อย่าใช้นมพร่องมันเนย)
6. ถ้าชอบหวานให้เติมน้ำตาลลงในแก้วชาได้ แต่ไม่ควรเกิน 1 ช้อนชา
7. ค่อยๆ เทชาจากกาน้ำชาลงในถ้วยน้ำชาขณะเทให้ปากของกาน้ำชาห่างจากแก้วน้ำชาสัก 1 ซม.
8. ค่อยๆ คนชาตามเข็มนาฬิกาสองครั้ง และวางช้อนคน ไว้ข้างๆ แก้ว

ค็อกเทล-- สีสันของวันแสนร้อน


อากาศร้อน เราอาจจะบรรเทาร้อนได้ด้วยการเปิดพัดลม นั่งอยู่ในห้องแอร์ หรือ อยู่ในที่อากาศเย็นสบายถ่ายเทสะดวกหรือใกล้น้ำ แต่ถ้าอากาศร้อนและอบอ้าว เผาความสบายไปถึงข้างในกาย เราคงต้องใช้ “ ความเย็น” เข้าช่วยละลายความร้อนในกายให้คลายลงได้

ยิ่งเป็น “ ความเย็น”ที่มีทั้งความหอม, ความหวานอมเปรี้ยวละเมียดละไม ผสมผสานกันจนเป็นสีสวยใสคล้ายลูกกวาด คุณจะห้ามความรู้สึกเย็นทั้งกายทั้งใจกับรสชาติที่ชวนหลงใหลได้อย่างไรคะ

ใช่ค่ะ ดิฉันหมายถึง ค็อกเทล เครื่องดื่มรสชาติหลากหลายหลากสไตล์ขวัญใจสาวๆค่ะ สำหรับคุณๆ ที่ช่วงนี้อาจจะรับนัดไปปาร์ตี้บ่อยหน่อยเนื่องจากมีงานเปิดตัวสินค้ามากมายในฤดูร้อนนี้ คงจะมีโอกาสดื่มค็อกเทลมากกว่าช่วงปรกติ ฉบับนี้ดิฉันจึงมีเรื่องเล่าและสไตล์ของค็อกเทลยอดฮิตมาฝากค่ะ

ก่อนอื่นมารู้จักค็อกเทลกันก่อนดีกว่าค่ะ

ค็อกเทลเป็นเครื่องดื่มที่ผสมผสานระหว่างความหวานของน้ำเชื่อม ความเปรี้ยวของน้ำผลไม้ ความเย็นของเกล็ดน้ำแข็ง และ รสชาติเนียนขมของแอลกอฮอล์ ผสมกันลงตัวได้อย่างแปลกประหลาดด้วยมนต์เสกของบาเทนเดอร์
สำหรับคนที่ชอบดูหนังและเกิดทันยุค 80 คงจำกันได้กับหนังสัญชาติอเมริกันเรื่อง “ ค็อกเทล” ที่นำแสดงโดยทอม ครุยซ์ หนุ่มบาเทนเดอร์ที่แสวงหาความสำเร็จจากการผสมค็อกเทลในรูปแบบสมัยใหม่
หนังเรืื่องนี้สร้างชื่อเสียงชนิดกู่ไม่กลับให้กับพระเอกเจ้าบทบาทคนนี้ พร้อมๆ กับเพลงโคโคโม่ ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ ของท้องฟ้าสีฟ้าคราม เสียงคลื่นทะเล ความสนุกสนานและไอร้อนของจาไมก้า นอกจากนั้นแล้ว หนังเรื่องนี้ยังทำให้สาวๆ หันมาดื่มค็อกเทลจนกลายเป็นแฟชั่นสุดฮิตอยู่พักหนึ่งด้วยค่ะ

แม้จะเน้นว่าค็อกเทลเป็นเครื่องดื่มสำหรับช่วงอากาศร้อน แต่คุณก็สามารถดื่มได้ในช่วงฤดูอื่นนะคะ โดยเฉพาะในเมืองไทยของเรา ที่อากาศไม่เคยขาดหายความร้อนสักเท่าไหร่ เพียงแต่ว่าประเทศตะวันตกจะนิยมดื่มค็อกเทลกันช่วงฤดูร้อนมากกว่า เพราะว่าถ้าอากาศหนาวๆ ฝรั่งนิยมดื่มแอลกอฮอล์ที่ทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น เช่น ไวน์ หรือ วิสกี้ แต่สำหรับค็อกเทล ซึ่งมีแอลกอฮอล์อยู่แค่ 50% หรือ 60 % ของส่วนผสมทั้งหมด มักจะถูกจัดให้เป็นเครื่องดื่มเบาๆ เพิ่มอารมณ์แห่งความสนุกสนานเท่านั้น หรือ บางทีค็อกเทลก็เป็นเครื่องดื่มที่นิยมดื่มสำหรับเรียกน้ำย่อย เป็นเครื่องดื่มก่อนรับประทานอาหาร ว่ากันว่า จะทำให้อาหารอร่อยขึ้น ซึ่งอันนี้ ไม่รับประกันว่าจริงแท้แค่ไหน คงต้องแล้วแต่รสนิยม แต่ที่แน่ๆ ค็อกเทลไม่ควรดื่มระหว่างอาหาร เพราะรสชาติหวานๆของค็อกเทล จะทำให้ลิ้นของเราไม่สารารถรับรู้รสชาติของอาหารได้เต็มร้อยค่ะ

“แล้วค็อกเทลนี่ ตกลงคือเหล้าหรือเปล่า?” คุณๆ บางคนอาจจะยังมีคำถามอยู่ในใจ
จริงๆ ก็ถือว่าเป็นนะคะ เพราะค็อกเทลคือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของเหล้าเป็นหลัก และเหล้าที่นิยมนำมาผสมกับค็อกเทลก็จะมีทั้งวอดก้า, รัม,ยิน,เตอกีร่า,วิสกี้, บรั่นดี บางค็อกเทลอาจจะใช้ลิเคียวผสมด้้วย เช่น ไบเล่ ไอริชครีม, มาลิบู, มาตินี
รายชื่อค็อกเทลรสชาติเยี่ยมนั้นยาวเหยียด แต่ละชนิดล้วนแล้วแต่มีเรื ่องเล่าที่มาแตกต่างกัน ค็อกเทลแต่ละแก้ว ยังมีเอกลักษณ์บ่งบอกลักษณะนิสัยของผู้ดื่ม แถมบางทียังทำหน้าที่ส่งข้อความสื่อสารให้กับคนพิเศษอีกด้วย
เรามาดูว่ากันดีกว่าค่ะ ว่าค็อกเทลอะไรที่เป็นค็อกเทลยอดนิยมบ้าง
จากประวัติที่ค้นพบกันได้ เล่าว่าต้นกำเนิดของค็อกเทลอย่างเป็นทางการอยู่ที่แคลิฟอเนียประเทศอเมริกา โดยสูตรแรกที่ผสมออกมาคือ มาตินี ซึ่งเป็นค็อกเทลที่ค่อนข้างมีรสชาติเข้มข้น
ถือว่าเป็นค็อกเทลสูตรเก่าแก่สูตรหนึ่งของโลกค่ะ
มาตินีิ (Martini)
ถ้าสตรีคนใดสั่งมาตินีดื่มนี่ รับรองว่าเรียกเสียงฮือฮาของหนุ่มๆ ได้อย่างแน่นอน เพราะมาตินีเป็นค็อกเทลที่เน้นส่วนผสมของเหล้าเป็นหลัก จึงค่อนข้างแรงมากสำหรับผู้หญิง มาตินีจะนิยมเสริฟในแก้วมาตินีและประดับด้วยมะกอกดองเสียบไม้ แถมยังมีหลายชนิดเช่น ดาย มาตินี ( ยินเป็นหลัก) รัม มาตินี( รัมเป็นเหลัก) หรือ เลมอนเชลโล มาตินี ( วอดก้าเป็นหลัก)
มาตินีเป็นตัวแทนของความหนักแน่น ลุ่มลึก จริงจัง และค่อนข้างจะเด็ดขาด
คนมีชื่อเสียงที่ชอบมาตินีจึงเป็นบุคคลทีี่มีบุคลิกเข้มแข็ง เช่น อดีตนายกรัฐมนตรีประเทศอังกฤษ เชอร์ชิล วินสตัน, เจมส์ บอนด์, หรือสตรีเหล็กอย่าง วินฟรีย์ โอปร่าห์, หรือนักดนตรีอย่างแฟรงค์ ซิเนต้า
ส่วนมาดอนน่าสาวสองพันปี เลือกที่จะชอบดื่ม Pomegranate Martini หรือมาตินีทับทิม ค็อกเทลสีแดงสดใส ซึ่งมีทั้งส่วนผสมของความเข้มแข็งและอ่อนไหว ดูเซ็กซี่เย้ายวนทว่าเข้มแข็ง มีรสฝาดและขมปร่าผสมผสานกันอย่างลงตัว
มาการิต้า (Margarita)
มาการิต้าจะมีจุดเด่นอยู่ตรงรสของน้ำมะนาวผสมตัดกับรสเหล้าเตกิล่า ส่วนใหญ่นิยมตกแต่งรอบขอบแก้วด้วยเกลือ ทำให้ค็อกเทลมีรสชาติออกเปรี้ยวๆ หวานๆ และเค็มที่ปลายลิ้น ดังนั้น สาวๆ ที่สั่งมาการิต้าดื่มจึงถูกคาดหวังว่า จะเป็นสาวเปรี้ยว ชอบชีวิตอิสระ ชอบผจญภัยและความตื่นเต้น มีความกล้าไม่กลัวกับการใช้ชีวิต แต่ก็มีอารมณ์ที่โรแมนติกละเมียดละไม
ชายหนุ่มที่ชอบมาการิต้าเห็นจะเป็นใครไม่ได้นอกจาก เฮอร์เมส แฮมมิงเวย์
โมฮิโต (้Mojito)
ค็อกเทลสัญชาติคิวบา มีส่วนผสมของรัมเป็นหลัก โมฮิโต้จะเน้นรสชาติเปรี้ยวๆ ของน้ำมะนาวผสมผสานกับรสหวานของน้ำเชื่อม และตบท้ายด้วยใบสาราแหน่ที่ถูกสับให้ละเอียดผสมกับน้ำแข็ง รสชาติจะออกมาในลักษณะกลมกล่อมแต่จัดจ้านและเข้มข้นใช้ได้ ดื่มมากๆ ก็อาจจะเมาได้ง่ายเหมือนกัน เครื่องดื่มชนิดนี้บ่งบอกบุคลิกของสาวร่าเริงปราดเปรียว มั่นอกมั่นใจในตัวเองแต่ก็แอบอ่อนไหวอยู่ในที ค็อกเทลชนิดนี้ สาวๆ ชอบกันหลายคน เพราะรสชาติอร่อย และส่วนใหญ่จะนิยมดื่มโมฮิโต้ในวันที่เหนื่อยล้าเพราะจะทำให้กระปรี่กระเป่าได้ทันทีด้วยสัดส่วนของส่วนผสมที่ให้คุณด้านพลังงาน

คอสโมโพลิแทนท์ (Cosmopolitan)

ค็อกเทลที่ใช้วอดก้าเป็นหลัก ผสมกับน้ำมะนาว น้ำแคนเบอรี่ และส้ม สีจะออกมาแดงเรื่อยๆ หรือชมพูอ่อนๆ มีรสชาติออกเปรี้ยว เหมาะกับคนที่ชอบรสเข้มข้นของความเปรี้ยวในผลไม้ คอสโมโพลิแทนท์ เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของสาวๆ มากที่สุดในยุคนี้เหมือนกัน สาวๆ ที่ชอบคอสโมโพลิแทนท์ จึงเป็นตัวแทนของคนทันสมัยมีชีวิตชีวา สนุกสนานตลอดกาล รักและชอบฟังจังหวะของดนตรี ชอบความเคลื่อนไหวของผู้คน ชอบชีวิตในเมืองที่ทั้งวุ่นวายและมีสเน่ห์ และเป็นสาวแสนซนที่แอบเซ็กซี่เล็กๆ

ไหมไทย หรือ ไมไท (Mai Tai)
เครื่องดื่มสัญชาติไตฮิติ ที่แปลว่า “ยอดเยี่ยม หลุดโลกไปเลย” อะไรทำนองนั้น
เป็นค็อกเทลยอดฮิตชนิดหนึ่งของสาวไทย เพราะมีรสออกหวาน และสุดจะกลมกล่อม ทำให้สาวๆ ดื่มเอาๆ แต่ผลปรากฎว่าเมากระจาย เพราะอันที่จริงแล้วไหมไทยมีส่วนผสมของเหล้ารัมค่อนข้างมาก ต้องค่อยๆ ดื่มอย่างละเมียดจึงจะทำให้ได้รสอร่อยอย่างแท้จริง ไหมไทยเปรียบเสมือนสาวโรแมนติกที่ปรับตัวแสนเก่ง มีความอ่อนหวานน่ารัก จะไปไหนไปกันไม่เรื่องมาก แบบสาวลุยๆ ว่างั้นเถอะ

ลอง ไอแลนด์ ไอซ์ที (Long Island Ice Tea)
เห็นชื่อใสๆ แบบนี้ แต่เป็นค็อกเทลสำหรับคนคอแข็งโดยเฉพาะค่ะ ลองไอแลนด์ ไอซ์ที สูตรดั้งเดิมจะผสมโค้ก แต่ที่เด็ดสุดคือ มีส่วนผสมของเหล้าหลายชนิดด้วยกัน คือ ทั้งจิน, วอดก้า, เตกีล่า , รัม และ เหล้าหวาน จากนั้นถึงค่อยผสมกับน้ำชาหรือโค้ก คิดดูสิคะ ว่าเข้มขนาดไหน ลอง ไอแลนด์ ไอซ์ที เป็นตัวแทนของสาวๆ ที่รักสีสันยามค่ำคืน รักชีวิตสนุกสนานแบบไร้ขีดจำกัด และเต็มร้อยกับความสัมพันธ์ทุกรูปแบบ และแม้ออกจะเป็นคนพูดจาขวานผ่าซาก แต่ก็มีความอดทนเหมือนกันนะ

ยกตัวอย่างพอหอมปากหอมคอเท่านี้ก่อนนะคะ อันที่จริงค็อกเทลยังมีอีกมากมายหลายรสหลายสไตล์ แต่ละชนิดล้วนแล้วแต่น่าลิ้มลองทั้งนั้น เช่น เพื่อนสาวจากชิคาโกของดิฉัน เป็นคนคล่องแคล่วปราดเปรียว เธอชอบดื่ม Fuzzy Naval เพราะชอบรสเปรี้ยวปนหวานปนกลิ่นหอมๆของพีช ส่วนค็อกเทลที่กำลังฮิตสุดของชาวลอนดอนเนอร์ตอนนี้ชื่อว่า Pineapple passion ที่ทำให้คุณหลงใหลไปกับรสชาติหอมหวานของน้ำสับปะรด วอดก้า น้ำแคนเบอรี่ และเหล้าผลไม้ ส่วนประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา บารัก โอบามา ชอบดื่ม Americano ค่ะ

สำหรับคุณๆ ที่ไม่ชอบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แต่ก็อยากดับร้อนกับเขาบ้าง อย่าเพิ่งเสียใจไปค่ะ เพราะค็อกเทลบางชนิดสามารถดื่มได้ โดยไม่ใส่แอลกอฮอล์ เพียงแต่ต้องบอกบาเทนเดอร์เท่านั้นเองค่ะ รับรองว่าอร่อยไม่น้อยหน้าค็อกเทลสูตรต้นตำรับค่ะ

การผสมเครื่องดื่มที่มาจากส่วนผสมของทั้งขมทั้งหวานทั้งเย็นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงนั้น ต้องใช้ชั้นเชิงและจังหวะการผสมชั้นครู ดังนั้นถ้าคุณๆ สนใจที่จะยืนอยู่ในจุดของบาเทนเดอร์ ยอดนักมายากลของเครื่องดื่ม ก็สามารถเรียนเพิ่มเติมได้จากโรงเรียนที่สอนการผสมค็อกเทลหรือเครื่องดื่มที่เปิดอยู่มากมายในขณะนี้ อย่าลืมนึกถึงทอม ครุยซ์เข้าไว้นะคะ…คนเราถ้าคิดจะเอาดี ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว เมื่อตั้งใจเรียนรู้อย่างจริงจัง ก็สามารถประสบความสำเร็จได้ค่ะ
ขอให้มีความสุขกับสีสันในวันแสนร้อนค่ะ

Tips
1. เวลาที่สั่งค็อกเทลเป็นช็อตมาดื่ม ให้ดื่มรวดเดียวหมด อย่าหยุด เพราะจะทำให้สะอึกได้
2. อย่าเติมน้ำแข็งลงในค็อกเทลที่ไม่ได้ผสมน้ำแข็งมาแต่แรก เพราะจะทำให้รสชาติเปลี่ยนได้
3. ถ้าสั่งค็อกเทลแบบสายรุ้งที่มาเป็นชั้นๆ อย่าคนให้สีปะปนกัน เพราะแต่ละชั้นมีรสชาติที่แตกต่างกันถ้าคนแล้วจะทำให้เสียรสชาติทันที

“ค็อกเทล “ ปาร์ตี้ฤดูร้อน


อากาศร้อนแล้วจ้า…
ทุกครั้งที่ดิฉันเห็นดอกไม้สีเหลืองสีส้มบานเจิดจ้าท้าลมร้อน ก็อดจะคิดไม่ได้ว่า พวกดอกไม้สีๆ คงจะดีใจเหลือเกินที่ได้บานกับเขาเสียที ถึงได้แข่งกันบานไม่รู้เหนื่อยแบบนี้ และไม่ใช่แค่ดอกไม้นะคะ ที่แสดงออกถึงความสดใส ผู้คนรอบกายต่างก็หันมาแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีสดๆ เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศกันทั้งนั้น
ร้อนๆ แบบนี้ แม้แต่สาวๆ ออฟฟิศ ที่ต้องนั่งทำงานตากแอร์อยู่ทั้งวัน ก็คงอดใจไม่ได้ คงอยากจะใส่เสื้อสีสันแสบทรวงหรือเสื้อสายเดี่ยวแขนกุดกับเขาเหมือนกัน ก็เพราะอากาศเป็นใจนี่ค่ะ ใครจะอดใจไหว
ช่วงฤดูร้อนแบบนี้ มีกิจกรรมมากมายให้คุณๆ เลือกเฟ้นหาวิธีคลายร้อน ไม่ว่า จะแพคเกจเที่ยวทะเล เที่ยวน้ำตก หรือแม้กระทั่งเที่ยวต่างประเทศ
ส่วนกิจกรรมหน้ารอ้นที่นิยมกันอย่างมากไม่ว่าวัฒนธรรมตะวันออกหรือตะวันตกอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ การจัดสังสรรงานเลี้ยงหรือปาร์ตี้
เพราะเป็นช่วงแห่งสีสัน ผู้คนจิตใจเบิกบานด้วยสีสันสดใสของแสงแดด แถมเป็นช่วงที่พระอาทิตย์ตกช้า ทำให้เวลากลางวันยาวกว่าฤดูทั่วไป
และแทบจะเรียกว่าเป็นธรรมเนียมนิยมของชาวตะวันตกเลยทีเดียว ที่เมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูร้อน จะเริ่มมีการจัดกิจกรรรม เปิดตัวสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ใหม่
ดังนั้น คุณๆ หลายคนอาจจะได้รับบัตรเชิญจากหลายๆ บริษัทหรือองค์กร ให้เข้าร่วมปาร์ตี้กันทั้งในบรรยากาศ in door และ out dppr
ส่วนใหญ่นิยมการจัดงานภายใต้ลักษณะงานเลี้ยงแขกที่เรียกว่า “ค็อกเทล ปาร์ตี้”
เอ…แล้วค็อกเทลปาร์ตี้ นี่มันต่างจากปาร์ตี้ธรรมดาๆ อย่างไร…เขาเสริฟอะไรกันบ้าง เราต้องแต่งตัวอย่างไรจึงจะเหมาะสม….ดิฉันจะขอแนะนำลักษณะของ
งานเลี้ยง “ ค็อกเทล” ตลอดจนการแต่งกาย แต่งหน้าทำผม และมารยาทในการวางตัวใน งานเลี้ยง เ พื่อให้คุณๆ สวย เลิศครบสมบูรณ์แบบสาว chic ทันสมัยค่ะ

ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ปัจจุบันนี้ ในประเทศไทยเรานิยมใช้คำว่า “ ค็อกเทลปาร์ตี้” ค่อนข้างมาก โดยจะเข้าใจกันโดยทันทีว่า เป็นการจัดปาร์ตี้อย่างง่ายๆ ส่วนใหญ่อาหาร เและเครื่องดื่ม จะเป็นแแบบเก๋ๆ มากกว่าจะเน้นเนื้อหนัง ของอาหาร แต่ก่อนที่จะเข้าใจกันผิดไปใหญ่ ว่า งาน “ ค็อกเทล “ ก็ คือ “ค็อกเทลปาร์ตี้” ดิฉันขออธิบายลักษณะต่างๆ ของงานค็อกเทล ก่อนนะคะ ขอย้ำว่า เวลาคุณถูกเชิญไปงาน ค็อกเทล ขอให้อ่านโจทย์ให้ดีว่าเป็นค็อกเทลอะไร เพราะลักษณะและสไตล์ของงานจะแตกต่างกัน และลักษณะการแต่งกายก็ไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิงค่ะ



1. ค็อกเทลปาร์ตี้
งานสไตล์ค็อกเทลปาร์ตรี้ ส่วนใหญ่แขกจะรู้กันทันที เป็นงานที่เน้นการเคลื่อนไหวค่อนข้างสูง คือ การจัดงานมักจะเน้นให้แขกยืน หรือนั่งแบบเก้าอี้ดนตรี อาหารที่จะเสริฟ มักจะเ ป็นอาหารว่าง เสริฟกับเครื่องดื่มค็อกเทลง่ายๆ เช่น พั้นซ์ ส่วนการแต่งตัว สามารถแต่งแบบไปทำงานหรือแบบธุรกิจ จนกระทั่ง แต่งแบบธรรมดา ไม่เน้นความหรูหรา แต่เน้นความสุภาพ น่ารัก มากกว่า เสื้อผ้าหน้าผมของการแต่งตัวไปค็อกเทลปาร์ตี้จึงไม่จำเป็นต้องโดดเด่นมากนัก ให้สะอาด สุภาพก็เพียงพอ ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับตัวงานด้วย ถ้าตัวงานเป็นการเปิดตัว งานแฟชั่น คุณก็ควรแต่งตัวเพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อย หรือแต่่งให้เข้ากับบรรยากากาศของาน นั่นเอง
2. ค็อกเทล บุฟเฟ่
ส่วนใหญ่ค็อกเทล บุฟเฟ่ จะจัดแบบมีโต๊ะเก้าอี้ ให้ เป็นมุมเล็กๆ และเป็นงานปาร์ตี้เล็กๆ หลังจากทานอาหารค่ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว เครื่องดื่มค็อกเทลจึงเป็นหัวใจหลักของค็อกเทลบุฟเฟ่ คุณสามารถสั่ง absolute cosmopolitan ( แบบสาวๆ ในซิทคอมเรื่อง sex and the city ) หรือ มาการิต้า หรือ ไหมไทย ได้ทั้งนั้น การแต่งกายควรจะต่อเนื่องมาจากอาหารมื้อค่ำ ซึ่งควรจะสวยได้ใจด้วยชุดซาตินเนื้อดี หรือ สวมใส่ชุดซีฟองเซ็กซี่พอดีตัวสีดำ ผมเผ้าก็ควรจะไดร์ หรือ จับช่อสวยๆ เพราะช่วงดื่มค็อกเทลหลังทานข้าว เป็นโอกาสทองที่คุณจะได้พูดคุยกับผู้ร่วมงานได้เต็มที่ แต่อย่าลืมว่า เวลาสำหรับค็อกเทล บุฟเฟ่ จะไม่เกิน 2 ชั่วโมงเท่านั้นค่ะ
3 ค็อกเทล รีเซฟชั่น
ค็อกเทลรีเซฟชั่น คือ การใช้งานค็อกเทลเเป็นประตูเสู่งานหลัก ดังนั้นถ้าคุณได้รับบัตรเชิญว่า ค็อกเทลรีเซฟชั่น ก็ไม่ต้องเขินอายถ้าไปถึงงานแล้วคุณสามารถดื่มกินได้เลย โดยไม่ต้องรอใครเปิดพิธ ี อาหารที่เสริฟจะเน้นอาหารที่หนักท้องกว่าค็อกเทลแบบอื่นๆ และมักจะเสริฟแชมเปญตลอดทั้งงาน ส่วนใหญ่ค็อกเทลรีเซฟชั่น จะเน้นในการเปิดตัวโปรเจกใหญ่ๆ เช่น เปิดตัวหนัง หรือ เปิดงานแสดงศิลปะ แขกส่วนใหญ่ที่มาในงานจึงมักเป็นคนที่มีชื่อเสียง หรือ บุคคลในสังคม ดังนั้นการแต่งตัวควรเน้นความโก้ ,หรูหรา หรือภูมิฐาน สาวๆ สังคมส่วนใหญ่เลือกสีดำ เป็นสีที่ทำให้ดูสุขุมน่านับถือ ส่วนสุภาพบุรุษจะนิยมใส่สูทหรือทักซิโด้

เอาละค่ะ เราพอรู้รูปแแบบงานค็อกเทลกันบ้างแล้ว ทีนี้มาดูเรื่องของมารยาทกันบ้างค่ะ
DO ! คือ สิ่งที่ควรทำ
- ถ้าในงานค็อกเทลมีการเสริฟไวน์ ไม่ว่าไวน์ขาวหรือไวน์แดง ให้ถือที่ก้านของแก้วไวน์เสมอ แต่ถ้าดื่มไวน์บนโต๊ะ สามารถจับที่ตัวแก้วดื่มได้
- ถ้าคุณมีแขกต่างชาติในงาน ให้เตรียมถือเครื่องดื่มหรือจานอาหารไว้ในมือซ้าย เสมอ เพราะมือขวาคุณต้องใช้สำหรับทักทายผู้คนทั่วไป
- ถ้าพนักงานต้อนรับยื่นถาดมาให้คุณเลือกอาหาร ให้ใช้กระดาษหรือส้อมหยิบอาหารใส่จานของคุณเอง หรือ จะหยิบเข้าปากทานเลยก็ได้
- ถ้ามีไข่ปลาคลาเวียร์เสริฟบนช้อน ให้คุณหยิบช้อนออกจากถาด และตักวางไว้บนจานของคุณ ห้ามใช้ส้อมของคุณตักไข่ปลาคลาเวียร์ออกจากถาดเด็ดขาด
- ถ้ามีการเสริฟตับบด ให้ใช้มีดตักตับบดเป็นทรงสี่เหลี่ยมเล็กๆ และทาไปบนขนมปัง ก่อนจะรับประทาน
- ไม่ต้องกลัวเขินที่จะหยิบคานาเป้หรือแซนวิชจากถาดแล้วรับประทาน คุณสามารถใช้มือคุณหยิบแล้วเข้าปากได้เลย โดยไม่ถือว่าผิดมารยาท


Don’t สิ่งที่ไม่ควรทำ
- เลี่ยงพูดคุยหัวข้อเรื่อง เพศสัมพันธ์, การเมือง และ ศาสนา กับแขกที่คุณเพิ่งรู้จัก
- ไม่ควรดื่มเบียร์จากกระป๋องหรือขวด ให้รินใส่แก้วแล้วจึงดื่ม
- ถ้ามีการเสริฟอาหารบนถาดพร้อมกับน้ำจิ้ม ให้จิ้มน้ำจิ้มได้ครั้งเดียวเท่านั้น , ถ้ากัดอาหารไปแล้ว ห้ามจิ้มอาหารในน้ำจิ้มอีกโดยเด็ดขาด
- ถ้าคุณถูกเชิญไปงานค็อกเทลที่บ้านหรือสถานที่ส่วนตัว อย่าเสิรฟเครื่องดื่มเองเด็ดขาด จะถือว่าผิดมารยาท

เอาละค่ะ บอกเคล็ดลับง่ายๆ สั้นๆ แต่คิดว่าคงเป็นประโยชน์นะคะ ฉบับหน้า ดิฉันจะขอแนะนำเครื่องดื่มค็อกเทลเย็นๆ ที่เป็นเครื่องดื่มหัวใจหลักของฤดูร้อนนี้ พร้อมกับเคล็ดลับของการสั่งเครื่องดื่มค็อกเทล ที่จะสื่อบุคลิกและความรู้สึกของคุณได้ค่ะ
ขอให้สนุกและสวย สุดใจ ในงานปาร์ตี้ฤดูร้อนนี้ค่ะ.
tips
- ถ้าเกิดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลมากไป แล้วรู้สึกมึน ให้ดื่มน้ำเปล่าตามไปสักสองแก้ว จะรู้สึกดีขึ้น
- สำหรับงานค็อกเทล คุณควรจะสืบให้ดีเสียก่อน ว่าจะมีใครมาร่วมงานบ้าง เพื่อจะได้เตรียมบทสนทนาและข้อมูลที่จะต้องคุยกับแขกได้อย่างไม่เคอะเขิน
-- สำหรับสุภาพสตรี ควรจะใช้กระเป๋าสำหรับไปงานปาร์ตี้โดยเฉพาะ หรือกระเป๋าหนีบปักเหลื่อมสวยๆ อย่าใช้กระเป๋าสะพายขนาดใหญ่โดยเด็ดขาด และควรใส่รองเท้าส้นสูงเพื่อบุคลิกที่โดดเด่น